เนื้อหา คำขวัญ
ส้มโอ
ข้าวสาร
ลูกสาว
ข้าวหลาม
สนามจันทร์
พุทธมณฑล
องค์พระปฐมเจดีย์
แม่น้ำท่าจีน
ผ้าดำ
"ส้มโอหวาน"
ผลไม้นครปฐม
มรดกทางวัฒนธรรม
จากคำขวัญจังหวัด
จังหวัดนครปฐมเป็นพื้นที่เก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีชื่อเสียงเรื่องสวนผลไม้นานาพันธุ์ ในบรรดาผลไม้เหล่านี้ “ส้มโอ” เป็นที่รู้จักและได้รับ ความนิยมมากที่สุด มีการปลูกอย่างแพร่หลายในหลายพื้นที่ของจังหวัด ส่งผลให้ ส้มโอเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ทางการเกษตรที่สำคัญของนครปฐม
(เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลตะวันตก หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2554)
ภาพ: ส้มโอ
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
ส้มโอนครชัยศรี
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ที่รับรองคุณภาพ
ส้มโอของจังหวัดนครปฐมมีชื่อเสียงด้านรสชาติและคุณภาพจนได้รับการ ขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(GI)ซึ่งเป็นการรับรองและคุ้มครองคุณลักษณะ เฉพาะของสินค้าเกษตรที่มีความสัมพันธ์กับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (GI) ช่วยยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณภาพและเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ภาพ: ส้มโอ
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
ส้มโอนครชัยศรีได้รับการขึ้นทะเบียน GI โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2547 โดยหอการค้าจังหวัดนครปฐม เป็นผู้ยื่นจดทะเบียน คำว่า “ส้มโอนครชัยศรี” หมายถึง ส้มโอพันธุ์ทองดี และ ขาวน้ำผึ้ง ซึ่งต้องปลูกเฉพาะในอำเภอนครชัยศรีอำเภอสามพราน และ อำเภอพุทธมณฑลของจังหวัดนครปฐมเท่านั้น
ภาพ: ส้มโอ
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
ประวัติส้มโอหวาน
ด้วยชื่อเสียงและคุณภาพที่โดดเด่นของส้มโอนครปฐมทำให้ “ส้มโอ” ถูกยก ให้เป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญประจำจังหวัดนครปฐม ดังที่ว่า “ ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวงาม ข้าวหลามหวานมัน สนามจันทร์งามล้น พุทธมณฑลคู่ธานี พระปฐมเจดีย์ เสียดฟ้าสวยงามตาแม่น้ำท่าจีน”ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความโดดเด่นของส้มโอในฐานะสัญลักษณ์ของจังหวัด
"ส้มโอหวาน"
ความภาคภูมิใจ
ที่ปรากฏในคำขวัญจังหวัด
ประวัติศาสตร์ส้มโอถวายราชวงศ์
“ส้มอ้อม”ในอดีต
ส้มโอนับเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดนครปฐมมาตั้งแต่ในอดีต ชื่อเสียงของ
ส้มโอนั้นโด่งดังไปถึงต่างประเทศ โดยปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุชุด
“กงสุล อเมริกันแจ้งว่า กรมเพาะปลูกอเมริกันขอกิ่งส้มโอนครไชยศรี” เมื่อ ร.ศ.129
(พ.ศ.2453) เอกสารดังกล่าวเป็นหนังสือราชการที่มีการไปมาระหว่างรัฐบาลไทย
กับรัฐบาล อเมริกาว่าด้วยเรื่องกรมเพาะปลูกอเมริกันขอกิ่งส้มโอนครไชยศรีไปปลูก
ที่ประเทศอเมริกา ซึ่งเอกสารฉบับนี้แสดงให้เห็นถึงความนิยมและชื่อเสียง
เรื่องพันธุ์ส้มโอนครไชยศรีได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ภายหลังเมื่อกรมเพาะปลูก
อเมริกันได้รับกิ่งส้มโอนครไชยศรี ไปปลูกแล้วได้ให้นักวิทยาศาสตร์หาสภาพ
ภูมิอากาศ และ ภูมิประเทศที่ใกล้เคียงกับเมืองนครไชยศรีให้มากที่สุดแล้วจึงนำ
กิ่งส้มโอนครไชยศรี มาผลปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จ และต้องล้มเลิกโครงการ
ไปในที่สุด
ภาพ: อเมริกันขอกิ่งส้มโอนครไชยศรีไปปลูกที่ประเทศอเมริกา
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
นอกจากนี้ในหนังสือปฐมสาร (พ.ศ. 2493) โดยไมตรี มณีเลิศ ได้อธิบายถึง ส้มโอไม่มีเม็ดที่ได้ผลดีเป็นพิเศษในพื้นที่หมู่บ้านอ้อม ริมแม่น้ำท่าจีน ในอำเภอ สามพราน จังหวัดนครปฐม ด้วยเหตุนี้ บางครั้งส้มโอจากบริเวณนี้จึงถูกเรียกว่า “ส้มอ้อม” กล่าวกันว่า ชาวสวนส้มโอในบริเวณนี้เคยนำส้มโอไม่มีเม็ดพันธุ์นี้ขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์ถึง 4 รัชกาล ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5), พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6), พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และ พระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร(รัชกาลที่ 9)ใน พ.ศ.2493 เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จประพาสหัวหินชาวนครปฐม ก็ได้นำส้มโอชนิดนี้ ไปทูลเกล้าฯ ถวายบนขบวนรถไฟพระที่นั่ง ณ สถานีรถไฟ นครปฐมอีกด้วย
ภาพ: ประชาชนที่กำลังรอถวายส้มโอที่สถานีรถไฟนครปฐม
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์ อาจารย์มนัสศักดิ์ รักอู่ นักวิชาการอิสระ ได้กล่าวว่า
ในอดีตส้มโอจากหมู่บ้านริมแม่น้ำท่าจีน มีรสชาติแตกต่างจากที่อื่นจนเป็นที่โปรดปราน
ของพระมหากษัตริย์หลายรัชกาล เนื่องจากเส้นทางริมแม่น้ำเป็นทางผ่านสำคัญในการ
เสด็จประพาสไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ดังนั้นส้มโอจากพื้นที่นครปฐมจึงได้ถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 5 และส่งเข้าไปยัง
ราชสำนัก ทำให้ชื่อเสียงของส้มโอนครปฐมเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และได้รับการยกย่องว่า
เป็นผลไม้ชั้นเลิศประจำจังหวัดนครปฐม
ตำนานกำเนิด
ส้มโอไม่มีเม็ดแห่งนครชัยศรี
ภาพ: ส้มโอนครชัยศรี
ตำนานของพันธุ์ส้มโอไม่มีเม็ดนครชัยศรีนั้นกล่าวว่า มีชาวสวนสองท่านชื่อ นายเม้า และ นายเน้ย ซึ่งเป็นคนบ้านอ้อม ตำบลบ้านใหม่ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมได้นำกิ่งตอนส้มโอมาจากตำบลบางขุนนนท์และตำบลราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรีมาทดลองปลูกผลปรากฏว่าส้มโอที่ปลูกในพื้นที่นครชัยศรีกลับได้ผลผลิต ที่ดีกว่าที่แหล่งเดิมเสียอีก
ส้มโอไม่มีเม็ดในอดีตนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ คือ ผลที่มีจุกเรียกว่า “ขาวพวง” และผลกลมแป้นไม่มีจุกเรียกว่า “ขาวแป้น” โดยเฉพาะชนิดขาวพวง ยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก 3 ชนิด ได้แก่ ขาวหอม, ขาวนนท์ และจำปาดะ (ประชุมเรื่องเมืองนครไชยศรี, หน้า 43-45, 2555)
ส้มโอไม่มีเม็ดในอดีตนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ คือ ผลที่มีจุกเรียกว่า “ขาวพวง” และผลกลมแป้นไม่มีจุกเรียกว่า “ขาวแป้น” โดยเฉพาะชนิดขาวพวง ยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก 3 ชนิด ได้แก่ ขาวหอม, ขาวนนท์ และจำปาดะ (ประชุมเรื่องเมืองนครไชยศรี, หน้า 43-45, 2555)
ส้มโอจากนครปฐมมีชื่อเสียงเรื่องรสชาติ เป็นที่ยอมรับของคนไทยมาอย่าง
ยาวนาน ปัจจุบันชาวสวนในนครปฐมนิยมปลูกส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง ซึ่งมีรสหวาน
อมเปรี้ยว กับพันธุ์ทองดีที่หวานอร่อย โดยปลูกมากใน อำเภอนครชัยศรี
อำเภอสามพรานและอำเภอพุทธมณฑลเนื่องจากดินบริเวณนี้เป็นดินร่วนปนทราย
เหมาะแก่การเจริญเติบโตของส้มโอทั้งสองพันธุ์ และดินที่ปลูกเป็นดินเลนท้องนา
มาก่อน เมื่อขุดทำเป็นสวนแบบยกร่องมีคูน้ำล้อมรอบ ดินที่ขุดขึ้นมายังมี ธาตุอาหาร
อยู่มาก จึงทำให้ ส้มโอมีรสชาติที่อร่อย ที่สำคัญในช่วงที่น้ำทะเลหนุน น้ำในแม่น้ำ
ท่าจีนที่ไหลผ่านพ้นที่นี้จะกลายเป็นน้ำกร่อย เป็นปัจจัยหนึ่งช่วยให้ส้มโอมีรสชาติ
หวานอร่อยและเป็นที่นิยมเสมอมาจนถึงปัจจุบัน
(เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลตะวันตก หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2554)
ภาพ: ส้มโอนครชัยศรี
ลักษณะภูมิประเทศ
และดินที่เอื้อต่อความหวานของส้มโอ
บริเวณที่ปลูกส้มโอนครชัยศรี เป็นที่ราบลุ่มของลุ่มแม่น้ำท่าจีน ในมณฑล
นครชัยศรีเดิม เมื่อถึงปีน้ำหลาก จะมีตะกอนดินมาทับถมขึ้นเรื่อย ๆ นำพาธาตุ
อาหารต่าง ๆ หากขุดลึกไปประมาณ 2 เมตร จะพบทรายและเปลือกหอย
พื้นที่ดินเป็นเนื้อเหนียว สีน้ำตาล ดินชั้นบนมีลักษณะการทับถมเป็นชั้นๆ ดินชั้นล่าง
จะมีสีน้ำตาลปนเหลือง ปฏิกิริยาของดินมีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยถึงต่าง
มีค่า pH 6.5 – 8.0 มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกส้มโอ
สภาพภูมิประเทศของจังหวัดนครปฐม โดยเฉพาะในอำเภอนครชัยศรี อำเภอสามพราน และอำเภอพุทธมณฑล ซึ่งเป็นแหล่งปลูกส้มโอนครชัยศรีที่มี ชื่อเสียงนั้น เป็นที่ราบลุ่มของลุ่มแม่น้ำท่าจีน
สภาพภูมิประเทศของจังหวัดนครปฐม โดยเฉพาะในอำเภอนครชัยศรี อำเภอสามพราน และอำเภอพุทธมณฑล ซึ่งเป็นแหล่งปลูกส้มโอนครชัยศรีที่มี ชื่อเสียงนั้น เป็นที่ราบลุ่มของลุ่มแม่น้ำท่าจีน
ภาพ : ดินชั้นล่างจะมีสีน้ำตาลปนเหลือง
ลักษณะเด่น
ของสภาพภูมิประเทศ
ลักษณะสำคัญของสภาพภูมิประเทศในพื้นที่นครปฐมประกอบด้วย 2 ประการ
หลัก ได้แก่
ที่ราบลุ่มริมแม่น้ำท่าจีน : อำเภอสามพรานมีภูมิประเทศตั้งอยู่ ริมแม่น้ำท่าจีน และพื้นที่ใกล้เคียงเป็น ที่ราบลุ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มี น้ำอุดมสมบูรณ์ เอื้อต่อการ เพาะปลูกทางการเกษตร
ปรากฏการณ์ "น้ำไหลทรายมูล" : เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก จะมี ตะกอนดินมา ทับถมขึ้นเรื่อยๆ นำพา ธาตุอาหารต่างๆ มาไว้ครบถ้วน ซึ่งชาวบ้านเรียกปรากฏการณ์ นี้ว่า"น้ำไหลทรายมูล" การทับถมทำให้ดินในบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์สูง
ที่ราบลุ่มริมแม่น้ำท่าจีน : อำเภอสามพรานมีภูมิประเทศตั้งอยู่ ริมแม่น้ำท่าจีน และพื้นที่ใกล้เคียงเป็น ที่ราบลุ่ม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มี น้ำอุดมสมบูรณ์ เอื้อต่อการ เพาะปลูกทางการเกษตร
ปรากฏการณ์ "น้ำไหลทรายมูล" : เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก จะมี ตะกอนดินมา ทับถมขึ้นเรื่อยๆ นำพา ธาตุอาหารต่างๆ มาไว้ครบถ้วน ซึ่งชาวบ้านเรียกปรากฏการณ์ นี้ว่า"น้ำไหลทรายมูล" การทับถมทำให้ดินในบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์สูง
ภาพ: แม่น้ำท่าจีนสมัยก่อน
ที่มา: หอจดหมายเหตุ
ที่มา: หอจดหมายเหตุ
วิธีการปลูกส้มโอ
ปัจจุบันการปลูกส้มโอที่ได้คุณภาพต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องซึ่งประกอบ ด้วย 6 ขั้นตอนสำคัญ ดังต่อไปนี้
ขั้นตอนเบื้อต้นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือการเตรียมดินเริ่มจากการปรับพื้นที่ แปลงให้เรียบตากดินไว้ 1 เดือน จากนั้นยกร่องแปลงปลูกโดยใช้แบ็คโฮ ทำหลังร่อง ให้มีความกว้างประมาณ 6 เมตร เสร็จแล้วตากดินไว้อีก 1 เดือน เพื่อให้ดินสุก มีความร่อนซุย
1. การเตรียมแปลง
ขั้นตอนเบื้อต้นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือการเตรียมดินเริ่มจากการปรับพื้นที่ แปลงให้เรียบตากดินไว้ 1 เดือน จากนั้นยกร่องแปลงปลูกโดยใช้แบ็คโฮ ทำหลังร่อง ให้มีความกว้างประมาณ 6 เมตร เสร็จแล้วตากดินไว้อีก 1 เดือน เพื่อให้ดินสุก มีความร่อนซุย
ภาพ : การเตรียมแปลง
ที่มา : https://copilot.microsoft.com/
ที่มา : https://copilot.microsoft.com/
2. การเตรียมหลุมปลูก
หลุมปลูกควรมีขนาดความกว้างประมาณ 0.5 เมตร ขุดหลุมแยกดินบนและ ดินล่างไว้แยกกันกองไว้ปากหลุม หากสวนไหนมีเวลาก็ควรตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 - 2 เดือน เพื่อให้แสงแดดฆ่าเชื้อโรคเชื้อราต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในดิน ผสมดินปนกับ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เศษใบไม้ หญ้าแห้ง และบางส่วนของดินชั้นล่าง แล้วกลบลงไป ในหลุมจนเต็มปากหลุม นำกิ่งพันธุ์ส้มโอที่เตรียมไว้ปลูกตรงกลางหลุม โดยให้ระดับ ของดินอยู่เหนือตุ้มกาบมะพร้าว กิ่งตอนเล็กน้อย หรือถ้าเป็นกิ่งตอนที่ชำแล้วให้ ระดับพอดีกับระดับดินที่ชำ แล้วใช้ไม้หลักปักให้ถึงก้นหลุมเพื่อกันลมโยก รดน้ำให้ชุ่ม หาวัสดุพรางแสงแดด เช่น ทางมะพร้าว หรือกิ่งไม้ที่มีใบใหญ่พรางแสงแดด
ภาพ : การเตรียมหลุมปลูก
ที่มา : https://copilot.microsoft.com/
ที่มา : https://copilot.microsoft.com/
3. การตัดแต่งกิ่ง
ควรตัดแต่งกิ่งที่ขึ้นแข่งกับลำต้นให้หมด รวมทั้งกิ่ง ที่ไม่ได้ระเบียบ กิ่งที่มีโรค แมลงทำลายออกทิ้ง การตัดแต่งกิ่งควร ทำด้วยความระมัดระวังอย่าให้กิ่งฉีก หลังจากตัดแต่งกิ่งควรใช้ ยากันเชื้อราหรือปูนกินหมากผสมน้ำทาตรงรอยแผลที่ตัด เพื่อกันแผลเน่าเนื่องจากเชื้อรา
ภาพ : ส้มโอไทยทวี
4. การออกดอกของส้มโอ
ถ้าปล่อยให้ส้มโอออกช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ (ขึ้นน้ำและเปิดตาดอก เดือนธันวาคม) ก็จะเป็นส้มปีหรือส้มตามฤดูกาล ซึ่งส้มโอทองดีหลังออกดอกนับไป อีกราว 7.5-8 เดือน จึงจะแก่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ถ้าเป็นส้มโอขาวแตงกวา อายุจะ สั้นกว่าราว 7 เดือน ก็จะเก็บเกี่ยวได้ แต่ถ้าเป็นส้มโอนอกฤดูกาลก็จะต้องให้ออกดอก มาก่อนหน้านี้ เช่น บังคับให้ออกดอกมาในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ก็แล้วแต่ เกษตรกรว่าจะวางแผนให้ออกช่วงเดือนไหน ขึ้นอยู่กับการวางแผนของตัวเกษตรกรเอง
ภาพ : การออกดอกของส้มโอ
การทำส้มโอนอกฤดูกาล นอกจากมีความเข้าใจเบื้องต้นเรื่องของนิสัยธรรมชาติ
ของส้มโอสายพันธุ์ที่ตนเองปลูก เกษตรกรก็ต้องอาศัยดวงจากธรรมชาติอีกด้วย
ซึ่งนิสัยส้มโอทุกสายพันธุ์จะออกดอกติดผลปีละ 2 รุ่น โดยรุ่นแรกออกดอกเดือน
ธันวาคมถึงมกราคม ผลแก่เก็บเกี่ยวเดือนสิงหาคม-กันยายน (ดกมาก) รุ่นสอง
ออกดอกเดือนสิงหาคม-กันยายน ผลแก่เก็บเกี่ยวเดือนมีนาคมถึงเมษายน
(ดกน้อยกว่ารุ่นแรก) แต่ผลรุ่นสองมีคุณภาพดีกว่ารุ่นแรกเพราะผลแก่ตรงกับช่วงแล้ง
ถ้าต้องการทำให้ผลรุ่นแรกดีเหมือนรุ่นสองจะต้องควบคุมปริมาณน้ำ โดยเฉพาะ
น้ำใต้ดินโคนต้นให้ได้เท่านั้น
ภาพ : การออกดอกของส้มโอ
5. ระยะออกดอกถึงระยะติดผลอ่อน
ต้องให้น้ำส้มโออย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาการเลี้ยงผลบนต้น แต่ควรจะ เว้นการให้น้ำในวันที่ดอกบานเพื่อลดการร่วงของดอก หมั่นเดินสำรวจการทำลาย โรคและแมลง เพราะถือว่าเป็นระยะที่สำคัญ ส้มโอจะค่อนข้างบอบบางต่อการ ทำลาย ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารป้องกันกำจัดโรคและแมลงช่วงที่ดอกส้มโอบาน แมลงศัตรู เช่น “เพลี้ยไฟ” หากมีการระบาดมากจะทำให้ใบหงิกงอ ดอกอ่อนร่วง หรือผลอ่อนร่วง ผลอ่อนทรงบิดเบี้ยว มีรอยแผลสีเทาเงินที่ผิวผล ทำให้ผลมีการ เจริญเติบโตช้าและต้องร่วงหล่นไปก่อนการเก็บเกี่ยว ควรเด็ดผลทำลายทิ้งไป
ภาพ : ระยะออกดอกถึงระยะติดผลอ่อน
ที่มา : https://copilot.microsoft.com/
ที่มา : https://copilot.microsoft.com/
6. อุปสรรคและปัญหาที่เป็น
ตัวแปรสำคัญในการให้ผลผลิต
ซึ่งในเดือนธันวาคมของทุกปี ชาวสวนจะมีการสกัดน้ำ คือ การไม่ให้น้ำเลย ประมาณครึ่งเดือนถ้าฝนไม่ตก หลังจากนั้นประมาณเดือนมกราคม จะขึ้นน้ำทุกวัน เพื่อให้ส้มโอแตกยอด ออกดอก ให้ผลผลิต ช่วงนี้ก็จะมีการปล่อยน้ำเสียจากโรงงาน ออกมาทุกปี นั่นคือจะมีผลต่อชาวสวนอย่างมาก ทำให้ดอกที่กำลังออกไม่สามารถ ติดผลได้ หรือ ต้นจะสลัดดอกล่วงหมด แม้ว่าจะมีการร้องเรียนไปแล้วหากแต่ก็ยัง ไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขในส่วนนี้เลย ทุกวันนี้ชาวสวนต้องอาศัยน้ำฝนในการ เยียวยาต้นส้มโอในสวนเท่านั้น (ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาพืชเกษตรหลักนครปฐมสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, 2561)
จากการสัมภาษณ์ คุณธนกฤต ไทยทวี เจ้าของสวนส้มโอไทยทวี กล่าวว่า ปัญหาหลักที่ชาวสวนต้องเผชิญคือ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น โรคและแมลง รวมถึง ปัญหารากเน่า แม้จะมีวิธีจัดการได้บ้าง แต่สิ่งที่เกษตรกรอยากได้คือการสนับสนุน ด้านการตลาด โดยเฉพาะการหาตลาดต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มโอกาสทาง รายได้ให้กับเกษตรกรสวนส้มโอ
ภาพ : ส้มโอนครชัยศรี
สายพันธุ์ส้มโอและ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ส้มโอเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางในตระกูลเดียวกับส้ม
แตกกิ่งก้านสาขาที่เรือนยอด ลำต้นมีสีน้ำตาล มีหนามเล็ก ๆ สูงประมาณ 8 เมตร
ใบเป็นแผ่นหนาสีเขียวเข้ม โคนก้านใบมีหูใบแผ่ออกเป็นรูปหัวใจใบประกอบ
มีใบย่อย 1 ใบ แผ่นใบเหมือน มะกรูด คือแบ่งใบเป็น 2 ตอน แต่ขนาดใบใหญ่กว่า
ใบหนาแข็ง มีสีเขียวแก่ มีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อสั้นหรือดอกเดี่ยว สีขาว
ตามบริเวณง่ามใบ มีสีขาว ปลายกลีบมนมี 4 กลีบ กลางดอกมี เกสร 20-25 อัน
ผลกลมโต บางพันธุ์ตรงขั้วมีจุกสูงขึ้นมา ผิวผลเมื่อยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จัด
เปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง ผิวของผลไม่เรียบ ผิวของเปลือกผลมีต่อมน้ำมัน
กระจายทั่วไป ผลส้มโอมีเปลือกหนาทำให้สามารถเก็บรักษาได้นาน ภายในผล
เป็นช่อง ๆ มีแผ่นบาง ๆ สีขาวกั้นเนื้อให้แยกออกจากกัน เนื้อแต่ละส่วนเรียกว่า
“กลีบ” มีรสหวานหรือหวานอมเปรี้ยว มีเมล็ดฝังอยู่ระหว่างเนื้อมากกว่า 1 เมล็ด
มีวิตามินซีมาก ส้มโอจัดว่าเป็นไม้ผลเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของไทย
ภาพ : ส้มโอนครชัยศรี
เปิดตำรับสายพันธุ์
ส้มโอนครชัยศรี
ส้มโอนครปฐม ซึ่งปลูกในอำเภอนครชัยศรี อำเภอสามพราน และอำเภอ
พุทธมณฑล ของจังหวัดนครปฐม จะเรียกกันว่าส้มโอนครชัยศรี ซึ่งส้มโอนครชัยศรี
ที่เกษตรกรมักเลือกปลูก
ภาพ: ส้มโอ
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
ที่มา: https://copilot.microsoft.com/
มีอยู่ 6 สายพันธุ์ ได้แก่
1. ส้มโอพันธุ์ทองดี
ทรงผลกลมแป้น ไม่มีจุก ผลโตขนาดปานกลาง ผิวเรียบ สีเขียวเข้ม ต่อมน้ำ
มันเล็กละเอียด ชิดกัน เปลือกผลบาง ด้านในสีชมพูเรื่อ ๆ ผนังกลีบสีชมพูอ่อน
เนื้อมีสีชมพูเบียดกันแน่น เนื้อนิ่ม ฉ่ำน้ำ รสชาติหวานออมเปรี้ยว นิยมบริโภคภาย
ในประเทศ ส่งขายต่างประเทศ ปลูกมากที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
และอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี และจังหวัดอื่น ๆ ประปราย
ภาพ: ส้มโอพันธุ์ทองดี
2. ส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง
รสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อสีขาวอมเหลืองเล็กน้อยคล้ายสีน้ำผึ้ง รูปทรงกลมนูน
เปลือกผิวบาง มีต่อมน้ำมันใหญ่ เนื้อแน่นน้ำหนักดี ไม่มีรสขมและรสซ่า แก่จัด
เนื้อแห้งถูกคอคนไทย ต่างชาติก็นิยม ผลมีลักษณะกลมสูง ขนาดค่อนข้างใหญ่
แต่ไม่มีจุกให้เห็นเด่นชัดนักเหมือนพันธุ์ขาวพวง ด้านก้นผลจะเรียบ มีต่อมน้ำมันเล็ก
มีสีเขียวเข้ม เปลือกหนาปานกลาง เนื้อสีขาวอมเหลืองคล้ายสีน้ำผึ้ง เนื้อขนาดใหญ่
รสชาติดีหวานนำอมเปรี้ยวเล็กน้อย ไม่มีรสขม และรสซ่า เมล็ดไม่มาก นิยมบริโภค
และปลูกทั่วไป ทุก ๆ ภาคของประเทศ
ภาพ: ส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง
3. ส้มโอพันธุ์ขาวพวง
ผลมีลักษณะทรงกลมสูง มีจุกสังเกตเห็นเด่นชัด มีจีบบริเวณจุก ผลขนาดโต
ปานกลาง ด้านก้นผลเว้าเล็กน้อย ต่อมน้ำมันใหญ่อยู่ห่างกัน ผิวเรียบ เนื้อมีสีขาว
ถึงขาวอมเหลือง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ถ้าแก่จัดรสหวานมากกว่าเปรี้ยว
ลักษณะลูกหัวจุกยาว (คล้ายลูกน้ำเต้า) เนื้อสีขาวอมเหลืองอ่อนๆ ส่งออกดีชาวจีนชอบ
เพราะเหมือนผลน้ำเต้า เมล็ดไม่มาก นิยมใช้ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพราะมี
รูปทรงที่สวยงาม เป็นพันธุ์ที่ส่งขายต่างประเทศ ปลูกกันมากที่อำเภอสามพราน
จังหวัดนครปฐม และจังหวัดปราจีนบุรี
ภาพ: ส้มโอพันธุ์ขาวพวง
4. ส้มโอพันธุ์ขาวแป้น
ผลมีลักษณะกลมแป้น ไม่มีจุก ขนาดผลโตปานกลาง เนื้อมีสีขาวอมเหลือง
รสชาติหวานอมเปรี้ยว เมล็ดลีบ ลักษณะลูกหัวจุกสั้น ส่วนผลคล้ายพันธุ์ทองดี
เนื้อสีขาว นิยมบริโภคภายในประเทศ ปลูกกันมากที่จังหวัดนครปฐมและจังหวัดราชบุรี
ภาพ: ส้มโอพันธุ์ขาวแป้น
5. ส้มโอพันธุ์ขาวหอม
รสเปรี้ยวนำ ลักษณะผลใหญ่ เปลือกบาง น้ำหนักดี ส้มโอพื้นบ้านอย่างขาว
พวงนิยมนำไปทำเป็นยำส้มโอ ส้มโอทองดีเป็นพันธุ์เดียวที่มีเนื้อสีชมพู ส้มโอขาวน้ำผึ้ง
กับขาวหอม ทรงสูง ดูยากกว่าชนิดอื่นๆ ถ้าปอกแล้วจะพบว่า ส้มโอขาวหอมเนื้อ
กรอบแข็ง รสหวาน แต่ขาวน้ำผึ้งเนื้อนิ่มและหวานกว่า ส้มโอที่แก่จัดเกินไปเนื้อจะ
กลายเป็นเม็ดกรอบๆ แข็งๆ ไม่มีน้ำ เรียกว่า เป็นเนื้อข้าวสาร
ภาพ : ส้มโอพันธุ์ขาวหอม
ที่มา : Gemini
ที่มา : Gemini
6. ส้มโอทับทิมสยาม
ใบมีลักษณะประจำพันธุ์คือ ปลายใบแหลม โคนเกือบมน ใบมีขนาดใหญ่ “ผล”
กลมรี มีขนาดใหญ่มาก หัวเป็นจีบชัดเจน เปลือกผลบางและนิ่มทำให้ขนส่ง
ระยะทางไกลๆจะช้ำได้ง่าย เนื้อใน หรือ “ถุงน้ำ” เป็นสีแดงเข้มหรือสีชมพูเข้มสวยงาม
น่าชม รสชาติหวานไม่มีรสขมเจือปนเลยตามที่กล่าวข้างต้น รับประทานอร่อยมาก
มีเมล็ดไม่มาก ติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ดตอนกิ่ง
ทาบกิ่งและเสียบยอด
ภาพ: ส้มโอทับทิมสยาม
งาน “วันส้มโอมณฑลนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม” เป็นเทศกาลสำคัญที่จัดขึ้น
เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ส้มโอนครชัยศรี ซึ่งเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัดนครปฐม
และได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา
งานนี้จัดขึ้นโดยจังหวัดนครปฐมร่วมกับหอการค้าจังหวัดนครปฐม โดยความร่วมมือ
จากองค์การบริหารส่วนตำบลไร่ขิง และวัดไร่ขิง สถานที่จัดงานอยู่ที่บริเวณ
วัดไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ในอดีตมีการจัดงานอย่างน้อยถึงครั้งที่ 9
ประจำปี 2550 ระหว่างวันที่ 20 ถึง 28 ตุลาคม
วัตถุประสงค์หลักของการจัดงานคือ เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาคุณภาพส้มโอ
นครปฐม ซึ่งมีรสหวานอร่อยและมีชื่่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสนับสนุน
ให้เกษตรกรพัฒนาคุณภาพและเพิ่มผลผลิต นอกจากนี้ยังมุ่งส่งเสริมสินค้าพื้นเมือง
ผลผลิตของประชาชน ทั้งอาหารคาว หวาน และของใช้ต่างๆ ให้เป็นที่รู้จัก
เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดนครปฐม โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวใน
อำเภอสามพราน ซึ่งมีโบราณสถาน โบราณวัตถุ สถาปัตยกรรม ศิลปวัฒนธรรม
และประเพณีอันทรงคุณค่า งานนี้ยังช่วยประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของ ส้มโอนครชัยศรี
ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะสินค้าส่งออก และกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาปลูกส้มโอ
และพัฒนาพันธุ์ให้ได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของตลาด อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้
พ่อค้าแม่ค้าและเกษตรกรได้นำผลผลิตมาแสดง และจำหน่าย สร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น
และส่งเสริมให้เกิดความสำนึกในการอนุรักษ์การปลูกส้มโอ ภายในงานมีการจำหน่าย
ส้มโอพันธุ์ทองดี และขาวน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นพันธุ์เฉพาะของมณฑลนครชัยศรี นอกจากนี้
ยังมีการแสดงสินค้าคุณภาพจากโรงงานมาตรฐาน สินค้าพื้นเมือง หัตถกรรมพื้นบ้าน
ของฝาก ของที่ระลึก และอาหารนานาชนิดที่
คิดสร้างสรรค์จากส้มโอ เช่น
ยำส้มโอ เค้กส้มโอ น้ำส้มโอ และไอศกรีมส้มโอ
ปัจจัยที่ทำให้ส้มโอนครชัยศรียังคงได้รับความนิยมของผู้บริโภคอยู่ในปัจจุบันนี้ คือการที่เกษตรกรสามารถรวมกลุ่มกันผลิต มีการพูดคุยกันในกลุ่มผู้ปลูกตกลงเรื่อง ราคาว่าเราควรจะปล่อยขายที่ราคาเท่าไรเพื่อให้เกิดการคุ้มทุนและมีผลกำไร นอกจากนี้ปัจจุบันมีล้งส้มโอที่ทำเชิงส่งออกเกินขึ้นมามากทำให้เกษตรกรมีทางเลือก มากขึ้น (ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาพืชเกษตรหลักนครปฐม สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, 2561)
ปัจจัยที่ทำให้ส้มโอนครชัยศรียังคงได้รับความนิยมของผู้บริโภคอยู่ในปัจจุบันนี้ คือการที่เกษตรกรสามารถรวมกลุ่มกันผลิต มีการพูดคุยกันในกลุ่มผู้ปลูกตกลงเรื่อง ราคาว่าเราควรจะปล่อยขายที่ราคาเท่าไรเพื่อให้เกิดการคุ้มทุนและมีผลกำไร นอกจากนี้ปัจจุบันมีล้งส้มโอที่ทำเชิงส่งออกเกินขึ้นมามากทำให้เกษตรกรมีทางเลือก มากขึ้น (ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาพืชเกษตรหลักนครปฐม สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, 2561)
ภาพ : ส้มโอนครชัยศรี
วิดีโอ | ส้มโอหวาน
แหล่งอ้างอิง
เรื่องเล่าข่าวเกษตร. (2024, กันยายน 29). “ส้มโอนครชัยศรี” GI ผลไม้ขึ้นชื่อจังหวัดนครปฐม.
https://www.agrinewsthai.com/did-you-know/157518
ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาพืชเกษตรหลักนครปฐม สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.
(2561, มกราคม 14). “ส้มโอมณฑณนครชัยศรี”.
https://dept.npru.ac.th/agridvnp/index.php?act=6a992d5529f459a44fee58c733255e86&lntype=editor_left&slm_id=2248
Ekanong Duangjak. (2011, เมษายน 7). ตามรอยคำขวัญประจำจังหวัดนครปฐม : ส้มโอหวาน. สำนักหอสมุดแห่งชาติ.
http://www.snc.lib.su.ac.th/westweb/?p=321
อภิลักษณ์ เกษมผลกูล. (2555). ประชุมเรื่องเมืองนครไชยศรี (พิมพ์ครั้งที่ 1). ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ข้าวสารขาว
ข้าวถือเป็นอาหารหลักและทรัพยากรสำคัญของประเทศไทยมายาวนาน
ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
จากคำขวัญประจำจังหวัดนครปฐม
“ข้าวสารขาว” เป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความ อุดมสมบูรณ์ของพื้นที่
จากลักษณะภูมิประเทศของจังหวัดนครปฐมตั้งอยู่ในลุ่มแม่น้ำท่าจีน ซึ่งมีดินอุดม
สมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกข้าวพื้น
ที่นี้ถือเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญ
ของประเทศ โดยมีการปลูกข้าวเพื่อบริโภคในครัวเรือนและค้าขายทั้งใน
ท้องถิ่น
และส่งออกไปยังจังหวัดอื่นๆ พันธุ์ข้าวที่ขึ้นชื่อของนครปฐม คือ ข้าวหอมนครชัยศรี
ซึ่งมีลักษณะเมล็ดเรียว
ขาว ขัดสีง่าย และมีกลิ่นหอมเล็กน้อย ข้าวชนิดนี้ได้รับ
ความนิยมอย่างแพร่หลายและเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและ
ต่างประเทศ
ข้าวหอมนครชัยศรีไม่ได้หมายถึงข้าวขาวธรรมดา
แต่เป็นข้าวที่ผ่านการ
คัดเลือกพันธุ์และการปลูกที่เหมาะสม
กับสภาพพื้นที่ของนครปฐม โดยใช้ระบบ
ชลประทานธรรมชาติ
จากแม่น้ำและคลองต่างๆทำให้สามารถปลูกข้าวได้หลายรุ่น
ต่อปี ในอดีต เกษตรกรในพื้นที่นครปฐมใช้วิธีปลูกข้าวแบบดั้งเดิมควบคู่กับการ
พัฒนาพันธุ์ข้าวคุณภาพสูง เช่น ข้าวหอมนครชัยศรี ข้าวทองระย้า ข้าวปิ่นแก้ว
ข้าวหอมสุพรรณ ข้าวชัยนาท และข้าวพิษณุโลก การผสมผสานวิธีการดังกล่าว
ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของแปลงนาและความยั่งยืนในการผลิต ทำให้ข้าวหอม
นครชัยศรีไม่เพียงเป็นแหล่งอาหารหลักของประชาชน แต่ยังเป็นทรัพยากรทาง
เศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดนครปฐม
ภาพ: ข้าวสาร
ที่มา: Chatgpt
ที่มา: Chatgpt
เศรษฐกิจการค้าข้าวในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีนมีมาตั้งแต่สมัย
โบราณ โดยเริ่ม
มีการขยายตัวอย่างชัดเจนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 5) และ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่6)
ข้าวที่ผลิตได้มีคุณภาพสูงและสามารถส่งออกได้ ทำให้จังหวัด
นครปฐม
เป็นแหล่งผลิตข้าวที่มีศักยภาพ ทั้งในด้านปริมาณและ
คุณภาพ ข้าวหอมนครชัยศรี
ยังมีบทบาทต่อวัฒนธรรมและ
วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างเด่นชัด
ภาพ: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา: history.tmc.or.th/html/ภาค 2 ประมวลเอกสารชั้นต้น สมัยรัชกาลที่ 5.htm
ที่มา: history.tmc.or.th/html/ภาค 2 ประมวลเอกสารชั้นต้น สมัยรัชกาลที่ 5.htm
ต่อมา การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและนโยบายด้านเกษตรกรรม
ทำให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าว
พันธุ์ใหม่ที่มีอายุสั้น ไม่ไวต่อแสง และให้ผลผลิต
สูงกว่า ส่งผลให้ข้าวหอมนครชัยศรีค่อย ๆ ลดบทบาท
ลงและเกือบสูญพันธุ์
ไปจากพื้นที่เป็นเวลานาน
ต่อมาใน พ.ศ. 2556 กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน
ในจังหวัดนครปฐม เช่น กลุ่มบ้านโฉนดชุมชน
คลองโยง–ลานตากฟ้า ได้ดำเนิน
โครงการฟื้นฟูพันธุ์ข้าวหอมนครชัยศรี โดยนำเมล็ดพันธุ์เดิมกลับมาทดลอง
ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ มีการเก็บรักษาและขยายผลต่อเกษตรกรในพื้นที่
ตลอดจนเผยแพร่ให้ผู้บริโภค
ได้ทดลองชิมและสนับสนุนการปลูกเชิงพาณิชย์
ถือเป็นการฟื้นฟูและสืบสานพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่มีคุณค่า
ทางวัฒนธรรมของ
จังหวัดนครปฐม
(มูลนิธิชีวิตไทบทความฟื้นตำนานข้าวหอมนครชัยศรี, 2558)
ด้วยเหตุนี้ ข้าวหอมนครชัยศรี ไม่ใช่เพียงพืชเศรษฐกิจแต่เป็นสัญลักษณ์ ที่สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ วิถีชีวิตและภูมิปัญญาของชาวนาในลุ่มน้ำแม่น้ำท่าจีน นอกจากนี้ยังมีการฟื้นฟูพันธุ์ข้าวหอมนครชัยศรี ยังคงเป็นความภาคภูมิใจของ จังหวัดนครปฐมที่สืบมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จากการสัมภาษณ์ อาจารย์สัญญา สุดล้ำเลิศ ข้าราชการบำนาญ กล่าวว่า ข้าวสารขาว สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพทำนา พื้นที่ริมแม่น้ำมีดินดีและน้ำอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกข้าว พันธุ์ข้าวที่เคยมีชื่อเสียงคือ ข้าวเหลืองหอม ซึ่งเมื่อสีหรือตกกะเทาะเปลือกออกแล้ว จะได้เมล็ดข้าวสารขาวสะอาด มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เป็นที่นิยมของชาวบ้าน และผู้บริโภคในอดีตแม่น้ำท่าจีนซึ่งเป็นสายหลัก ไหลจากจังหวัดชัยนาท ผ่านสุพรรณบุรี นครปฐม จนถึงสมุทรสาคร ช่วยหล่อเลี้ยงผืนดินและนำตะกอน อินทรีย์วัตถุที่เป็นประโยชน์ต่อการเพาะปลูกนอกจากนี้ยังมีคลองสาขาย่อย หลายสายที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำท่าจีน ทำให้ระบบน้ำในพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ ต่อเนื่องจึงทำให้ลุ่มน้ำนครชัยศรีกลายเป็นแหล่งผลิตข้าวสำคัญ และเป็นที่มา ของคำว่า ข้าวสารขาว
ด้วยเหตุนี้ ข้าวหอมนครชัยศรี ไม่ใช่เพียงพืชเศรษฐกิจแต่เป็นสัญลักษณ์ ที่สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ วิถีชีวิตและภูมิปัญญาของชาวนาในลุ่มน้ำแม่น้ำท่าจีน นอกจากนี้ยังมีการฟื้นฟูพันธุ์ข้าวหอมนครชัยศรี ยังคงเป็นความภาคภูมิใจของ จังหวัดนครปฐมที่สืบมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จากการสัมภาษณ์ อาจารย์สัญญา สุดล้ำเลิศ ข้าราชการบำนาญ กล่าวว่า ข้าวสารขาว สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพทำนา พื้นที่ริมแม่น้ำมีดินดีและน้ำอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การปลูกข้าว พันธุ์ข้าวที่เคยมีชื่อเสียงคือ ข้าวเหลืองหอม ซึ่งเมื่อสีหรือตกกะเทาะเปลือกออกแล้ว จะได้เมล็ดข้าวสารขาวสะอาด มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เป็นที่นิยมของชาวบ้าน และผู้บริโภคในอดีตแม่น้ำท่าจีนซึ่งเป็นสายหลัก ไหลจากจังหวัดชัยนาท ผ่านสุพรรณบุรี นครปฐม จนถึงสมุทรสาคร ช่วยหล่อเลี้ยงผืนดินและนำตะกอน อินทรีย์วัตถุที่เป็นประโยชน์ต่อการเพาะปลูกนอกจากนี้ยังมีคลองสาขาย่อย หลายสายที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำท่าจีน ทำให้ระบบน้ำในพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ ต่อเนื่องจึงทำให้ลุ่มน้ำนครชัยศรีกลายเป็นแหล่งผลิตข้าวสำคัญ และเป็นที่มา ของคำว่า ข้าวสารขาว
ภาพ: ข้าวสาร
ที่มา: Canva
ที่มา: Canva
ความหมายของ
ข้าวสาร
ข้าวสาร ความหมายพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ข้าวเปลือก
ที่สีซ้อม
จนเหลือแต่เมล็ดขาวดีแล้ว ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย ข้าวที่จะนำมา
หุงจะต้องเป็นเมล็ดข้าวที่ขัดสีจนขาวปราศจากเปลือกแล้ว ซึ่งเรียกว่า ข้าวสาร
แต่ก่อนการที่จะได้มาซึ่งข้าวสารนั้นต้องเอาข้าวเปลือกมาใส่ในครกไม้ แล้วใช้สากตำ
หลายๆครั้ง จนเปลือกหลุดอออกไป การตำข้าวมักต้องใช้คนตำถึง 2 คน เรียกกันว่า
ข้าวซ้อมมือ หลังจากตำครั้งแรกพอเปลือกหลุดอออกแล้ว จะต้องนำข้าวไปฝัดด้วย
กระดังให้เปลือกออกไปเหลือแต่เมล็ดข้าวสารต้องทำเช่นนั้น 2-3 ครั้ง จนเม็ด
ข้าวสารมีสีขาว จึงนำไปรับประทานได้
ข้าวสานสู่ข้าวสาร
ข้าว ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2542 หมายถึง
ชื่อไม้ล้มลุกหลายชนิดหลายสกุลในวงศ์
Gramineae ใช้เมล็ดเป็นอาหารหลัก
มีหลายพันธุ์ (สำนักงานราชบัณฑิตสภา, 2568)
สาน หมายถึง การกำจัดเปลือก เช่นเดียวกับคำว่า ถั่วสาน หรือ งาสานสำหรับข้าว การสานหมายถึงการเอาเปลือกข้าวออกเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวที่พร้อม สำหรับการหุง เป็นอาหาร
คำว่า ข้าวสาน เป็นคำไทยโบราณ แต่ต่อมาได้เปลี่ยน เป็น ข้าวสาร เนื่องจาก อิทธิพลของภาษาเขมรซึ่งมักใช้ตัว ร. แทน (ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร - ทางอีศาน, 2019)
สาน หมายถึง การกำจัดเปลือก เช่นเดียวกับคำว่า ถั่วสาน หรือ งาสานสำหรับข้าว การสานหมายถึงการเอาเปลือกข้าวออกเพื่อให้ได้เมล็ดข้าวที่พร้อม สำหรับการหุง เป็นอาหาร
คำว่า ข้าวสาน เป็นคำไทยโบราณ แต่ต่อมาได้เปลี่ยน เป็น ข้าวสาร เนื่องจาก อิทธิพลของภาษาเขมรซึ่งมักใช้ตัว ร. แทน (ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร - ทางอีศาน, 2019)
ภาพ: ข้าวสาร
ที่มา: Chatgpt
ที่มา: Chatgpt
พันธุ์ข้าว
จังหวัดนครปฐม โดยเฉพาะอำเภอนครชัยศรี มีพื้นที่
เพาะปลูกข้าว
ในที่ลุ่มแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ดินร่วน
ปนเหนียว มีความเหมาะสมต่อการปลูก
พันธุ์ข้าวหอมและ
ข้าวพื้นเมืองที่มีคุณภาพดี ปัจจุบันนครปฐมยังคงมีการ
ปลูกข้าวเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น แต่พื้นที่ปลูกมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากการ
เปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกไปสู่พืชเศรษฐกิจอื่น
เช่น อ้อยและพืชผัก รวมทั้ง
การพัฒนาพื้นที่จากพื้นที่
เกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรม
พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่ปลูกในนครชัยศรีและนครปฐม ได้แก่ ข้าวหอมนครชัยศรี ซึ่งเป็นข้าวพื้นถิ่นโบราณที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวทั้งกลิ่นและรสชาติ ข้าวทองระย้า ข้าวปิ่นแก้ว ซึ่งเป็นข้าวพื้นถิ่นของจังหวัดนครปฐมที่เคยได้รับรางวัล ระดับโลก ในการประกวดเมล็ดพันธุ์ข้าว และกำลังมีการรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และยังมี ข้าวหอมสุพรรณ ข้าวชัยนาท และข้าวพิษณุโลก
พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่ปลูกในนครชัยศรีและนครปฐม ได้แก่ ข้าวหอมนครชัยศรี ซึ่งเป็นข้าวพื้นถิ่นโบราณที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวทั้งกลิ่นและรสชาติ ข้าวทองระย้า ข้าวปิ่นแก้ว ซึ่งเป็นข้าวพื้นถิ่นของจังหวัดนครปฐมที่เคยได้รับรางวัล ระดับโลก ในการประกวดเมล็ดพันธุ์ข้าว และกำลังมีการรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และยังมี ข้าวหอมสุพรรณ ข้าวชัยนาท และข้าวพิษณุโลก
พันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่ปลูกในนครชัยศรีและนครปฐม
ข้าวหอมนครชัยศรี
ข้าวหอมนครชัยศรีเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของ
อำเภอนครชัยศรี
จังหวัดนครปฐม ลักษณะเด่นคือเมล็ด
เรียวยาว มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวคล้าย
ข้าวหอมมะลิ แต่มีความเหนียวนุ่มมากกว่าเมื่อนำมาหุงสุก ทำให้เป็นที่นิยม
ในครัวเรือนท้องถิ่นและงานประเพณี
ภาพ: ข้าวหอมนครชัยศรี
ที่มา: Chatgpt
ที่มา: Chatgpt
ข้าวทองระย้า
พันธุ์ข้าวทองระย้าเป็นพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่เพาะปลูกมาก
ในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง
รวมถึงนครปฐม มีคุณสมบัติเด่นคือ
ความทนทานต่อโรคและน้ำท่วมระยะสั้น
เมล็ดข้าวเมื่อหุง
จะมีความหอมอ่อนและเนื้อสัมผัสฟู
ภาพ: ข้าวทองระย้า
ที่มา: Chatgpt
ที่มา: Chatgpt
ข้าวปิ่นแก้ว
ข้าวปิ่นแก้วเป็นพันธุ์ข้าวที่มีประวัติการปลูกยาวนาน
ในพื้นที่นครชัยศรี
ลักษณะเด่นคือเมล็ดใสแววคล้ายแก้ว
รสชาติมันและหอมอ่อนเหมาะกับการทำ
อาหารพื้นบ้าน เช่น
ข้าวต้มและข้าวต้มมัด
ภาพ: ข้าวปิ่นแก้ว
ที่มา: Chatgpt
ที่มา: Chatgpt
ข้าวหอมสุพรรณ
เป็นพันธุ์ที่พัฒนามาจากจังหวัดสุพรรณบุรี แต่แพร่หลาย
ในพื้นที่ใกล้เคียง
เช่น นครปฐม ลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตสูง
ทนแล้งดี เมล็ดข้าวเมื่อหุงจะหอมนุ่ม
ใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิ
จึงเป็นทางเลือกที่ชาวนาในนครปฐมนิยมปลูก
ภาพ: ข้าวหอมสุพรรณ
ที่มา: Chatgpt
ที่มา: Chatgpt
ข้าวชัยนาท
เป็นพันธุ์ที่พัฒนามาจากจังหวัดสุพรรณบุรี แต่แพร่หลาย
ในพื้นที่ใกล้เคียง
เช่น นครปฐม ลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตสูง
ทนแล้งดี เมล็ดข้าวเมื่อหุงจะหอมนุ่ม
ใกล้เคียงกับข้าวหอมมะลิ
จึงเป็นทางเลือกที่ชาวนาในนครปฐมนิยมปลูก
ภาพ: ข้าวชัยนาท
ที่มา: Chatgpt
ที่มา: Chatgpt
ข้าวพิษณุโลก
ข้าวพิษณุโลกหรือข้าวพิษณุโลกเป็นพันธุ์ข้าวที่
เหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูก
ในภาคเหนือตอนล่างและ
ภาคกลาง รวมถึงนครปฐม ลักษณะเด่นคือเมล็ด
เรียวยาว ให้ผลผลิตสม่ำเสมอ และรสชาติออกหวาน
เล็กน้อยเมื่อหุงสุก
(กรมการข้าว, 2562)
(กรมการข้าว, 2562)
ภาพ: ข้าวพิษณุโลก
ที่มา: Chatgpt
ที่มา: Chatgpt
ภาพ: ข้าวสาร
ที่มา: Canva
ที่มา: Canva
การหายไปของ
ข้าวหอมนครชัยศรี
ข้าวหอมนครชัยศรีซึ่งเป็นข้าวนาปีสายพันธุ์พื้นเมืองของจังหวัดนครปฐม
ได้หายสาบสูญไปจากท้องถิ่นเป็นระยะเวลานาน จะถูกนำกลับมาฟื้นฟูและเพาะ
ปลูกอีกครั้งในปัจจุบันสาเหตุหลักที่ทำให้ข้าวหอมนครชัยศรีหายไปนั้นมีปัจจัยมาจากการ
เปลี่ยนแปลงวิถีการเพาะปลูกของชาวนาในพื้นที่ในอดีตพื้นที่จังหวัดนครปฐมเคยเป็น
อู่ข้าวอู่น้ำ ที่อุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็
ตามในระยะหลังชาวนาได้หันมาเลือกปลูกข้าว
อายุสั้น ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์แข็งที่เหมาะสำหรับนำไปทำแป้งมากกว่า การเปลี่ยน
แปลงพฤติกรรมการเพาะปลูกนี้เองที่ส่งผลให้ข้าวพื้นถิ่นดีๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และรสชาติอร่อย อย่างเช่นข้าวหอม
นครชัยศรี ได้หายไปจากทุ่งนาเมื่อข้าวพื้นเมือง
หายไปจากตลาดผู้บริโภคก็ต้องหันไปบริโภคข้าวถุงสำเร็จรูป
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกับชาวนา ในพื้นที่โฉนดชุมชนบ้านคลองโยง-ลานตากฟ้า อำเภอนครชัยศรี เพื่อค้นหาพันธุ์ข้าวดั้งเดิมที่กินได้และมีรสชาติดีกลับมา ปลูกอีกครั้ง ซึ่งจากการค้นพบก็คือ ข้าวหอมนครชัยศรีเป็นหนึ่งในพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของจังหวัดนครปฐม ที่ให้รสชาติอร่อย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคล้ายข้าวหอมมะลิ นอกจากนี้ ข้าวพันธุ์นี้ ยังมีข้อดีคือ เป็นข้าวนาปีที่ดูแลรักษาง่าย หนีน้ำได้ทัน ไวต่อแสง ไม่กินปุ๋ยมาก และต้านทานโรคได้ดี ความพยายามในการฟื้นฟูครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ หวังให้ทุกคน ได้กินข้าวที่ดี มีคุณภาพ และปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยกันฟื้นฟู อนุรักษ์ และส่งเสริมให้ข้าวชนิดนี้กลับมาอยู่คู่นครปฐมอีกครั้ง (ฟื้นตำนาน ข้าวหอมนครชัยศรี, 2015)
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกับชาวนา ในพื้นที่โฉนดชุมชนบ้านคลองโยง-ลานตากฟ้า อำเภอนครชัยศรี เพื่อค้นหาพันธุ์ข้าวดั้งเดิมที่กินได้และมีรสชาติดีกลับมา ปลูกอีกครั้ง ซึ่งจากการค้นพบก็คือ ข้าวหอมนครชัยศรีเป็นหนึ่งในพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของจังหวัดนครปฐม ที่ให้รสชาติอร่อย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคล้ายข้าวหอมมะลิ นอกจากนี้ ข้าวพันธุ์นี้ ยังมีข้อดีคือ เป็นข้าวนาปีที่ดูแลรักษาง่าย หนีน้ำได้ทัน ไวต่อแสง ไม่กินปุ๋ยมาก และต้านทานโรคได้ดี ความพยายามในการฟื้นฟูครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ หวังให้ทุกคน ได้กินข้าวที่ดี มีคุณภาพ และปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยกันฟื้นฟู อนุรักษ์ และส่งเสริมให้ข้าวชนิดนี้กลับมาอยู่คู่นครปฐมอีกครั้ง (ฟื้นตำนาน ข้าวหอมนครชัยศรี, 2015)
ธุรกิจค้าข้าว
ในลุ่มน้ำนครชัยศรี
การผลิตข้าวเพื่อขายในอดีต
ธุรกิจการค้าข้าวในลุ่มแม่น้ำท่าจีนภายหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง ใน พ.ศ. 2398
มีการผลิตข้าวเพื่อค้าขายขยายขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้จากปริมาณการผลิต
ข้าวทั้งหมดของลุ่มน้ำท่าจีน 204,300 เกวียน โดยขายออกจากท้องถิ่นทั้งหมด
136,200 เกวียน แสดงให้เห็นว่าผลผลิตเกินกว่าครึ่งถูกส่งออกภายนอกท้องถิ่น
ผลผลิตข้าวของลุ่มแม่น้ำท่าจีนที่ขายออกจากท้องถิ่นส่วนหนึ่งมีพ่อค้าคนกลาง
ขายต่อยังต่างประเทศ เพราะมีข้อมูลยืนยันว่าปริมาณข้าวไทยที่ส่งออกไปขาย
ยังต่างประเทศเกือบทั้งหมดมาจากผลผลิตข้าวในภาคกลาง ได้แก่ มณฑลกรุงเทพฯ
กรุงเก่า ปราจีนบุรี นครชัยศรี ราชบุรี และพิษณุโลกเท่านั้น นอกจากนี้บริเวณ
ลุ่มแม่น้ำท่าจีนและบริเวณทางแยกปากคลองที่เป็นชุมทางผ่านไปมาเพื่อรับซื้อข้าว
จะพบโรงสีเครื่องจักรขนาดใหญ่และขนาดเล็กเรียงรายอยู่ทั่วไป ส่วนใหญ่เจ้าของ
เป็นนายทุนชาวจีนจากกรุงเทพฯ
ภาพ: การขนส่งทางเรือ
ที่มา: https://pantip.com/topic/43752636
ที่มา: https://pantip.com/topic/43752636
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 มีนายทุนจีนท้องถิ่น
ตั้งโรงสีข้าวขึ้นมา
ผลผลิตข้าวของลุ่มแม่น้ำท่าจีนที่ขาย
ออกจากท้องถิ่นส่วนหนึ่งมีพ่อค้าคนกลาง
นำไปขายยังต่อ
ต่างประเทศ สำหรับการขายข้าวของชาวนาส่วนใหญ่จะ
อยู่ในลักษณะการแลกข้าว เนื่องจากข้าวมีราคาดีและขายคล่อง
ชาวนามักขายข้าวทันทีภายหลังจากการเก็บเกี่ยว
แล้ว มีเพียงบางท้องที่เท่านั้น
ที่ชาวนาขายข้าวภายหลัง
จากที่ได้ลงมือเพาะปลูกและข้าวออกรวงในปีต่อไป
เพราะเกรงว่าหากการเพาะปลูกไม่ได้ผลเต็มที่ข้าวอาจ
ไม่เพียงพอต่อการบริโภค
สำหรับการขายข้าวของชาวนา
โดยทั่วไปมี 2 วิธี คือ ขายให้แก่พ่อค้าได้เป็นเงินตรา
และการแลกข้าวกับสินค้าอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกข้าวในเขต ลุ่มน้ำท่าจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงศักยภาพ ด้านการผลิตและมาตรฐานคุณภาพของข้าวที่เพาะปลูก ในภูมิภาค นอกจากนี้ข้าวหอมนครชัยศรียังมีบทบาท สำคัญในเชิงสังคมและวัฒนธรรม สะท้อนวิถีชีวิต ประชาชนในท้องถิ่นพื้นที่นครปฐม
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกข้าวในเขต ลุ่มน้ำท่าจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงศักยภาพ ด้านการผลิตและมาตรฐานคุณภาพของข้าวที่เพาะปลูก ในภูมิภาค นอกจากนี้ข้าวหอมนครชัยศรียังมีบทบาท สำคัญในเชิงสังคมและวัฒนธรรม สะท้อนวิถีชีวิต ประชาชนในท้องถิ่นพื้นที่นครปฐม
ภาพ: พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา: https://scout.nma6.go.th/การลูกเสือไทย/รัชสมัยรัชกาลที่-6
ที่มา: https://scout.nma6.go.th/การลูกเสือไทย/รัชสมัยรัชกาลที่-6
โรงสีข้าวในอดีต
ภาพ: โรงสีข้าวเก่า
ที่มา: เสาวภา พรสิริพงษ์. (2544). ชุมชนลุ่มน้ำนครชัยศรี: พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคม-วัฒนธรรม พลวัตและการท้าทาย. มหาวิทยาลัยมหิดล. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
ที่มา: เสาวภา พรสิริพงษ์. (2544). ชุมชนลุ่มน้ำนครชัยศรี: พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคม-วัฒนธรรม พลวัตและการท้าทาย. มหาวิทยาลัยมหิดล. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
ในอดีตโรงสีข้าวพื้นที่นครปฐมส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นโรงสีครอบครัวหรือโรงสีชุมชน มีกลุ่ม
คนไทยเชื้อสายจีนเป็นกลุ่มเจ้าของธุรกิจโรงสี โดยใช้แรงงานคนและสัตว์ เช่น ครกกระเดื่องหรือ
หินโม่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมาประเทศไทยเริ่มรับเอาเครื่องจักรกลจากตะวันตก โดยเฉพาะ
เครื่องจักรไอน้ำและเครื่องยนต์กลไก ทำให้เกิดการก่อตั้งโรงสีข้าวขนาดใหญ่ใกล้พื้นที่เกษตร
และเส้นทางคมนาคม การขุดคลองและการสร้างทางรถไฟสายใต้ใน พ.ศ.2442 ทำให้
การลำเลียงข้าวจากนครปฐมสู่กรุงเทพฯ และท่าเรือส่งออกมีความสะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลให้
โรงสีข้าว
ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และนครปฐมกลายเป็นแหล่งผลิตข้าวสารที่สำคัญของภาคกลาง
โรงสีข้าวมีบทบาทต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ทั้งในการ
แปรรูปผลผลิตเกษตร
และการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ
ของชุมชน โดยเกษตรกรจะนำผลผลิตไปขายให้โรงสี
แลกเปลี่ยนเป็นรายได้หรือกู้ยืมเงินล่วงหน้าเพื่อใช้จ่าย
ในการเพาะปลูก ในบางพื้นที่
โรงสียังทำหน้าที่เป็นผู้ว่าจ้าง
แรงงานและเป็นผู้กระจายสินค้าเข้าสู่ตลาด โรงสีจึงเชื่อม
โยงระหว่างชาวนากับเศรษฐกิจท้องถิ่น
ต่อมาโรงสีข้าวในพื้นที่นครปฐมได้พัฒนาตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มีการเปลี่ยนแปลงทางการผลิต ตั้งแต่โรงสีไอน้ำ จนถึงโรงสีไฟฟ้าและโรงสี ระบบอัตโนมัติ ในปัจจุบันเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้สามารถผลิตข้าวสาร ที่มีคุณภาพและมาตรฐานเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ
ต่อมาโรงสีข้าวในพื้นที่นครปฐมได้พัฒนาตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มีการเปลี่ยนแปลงทางการผลิต ตั้งแต่โรงสีไอน้ำ จนถึงโรงสีไฟฟ้าและโรงสี ระบบอัตโนมัติ ในปัจจุบันเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้สามารถผลิตข้าวสาร ที่มีคุณภาพและมาตรฐานเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ
ภาพ: เครื่องสีข้าวเก่า
ที่มา: https://traditional-objects.sac.or.th/th/equipment-detail.php?ob_id=242
ที่มา: https://traditional-objects.sac.or.th/th/equipment-detail.php?ob_id=242
วิดีโอ | ข้าวสารขาว
แหล่งอ้างอิง
วิพุธ วิวรณ์วรรณ. (2545). สลกบาตรห้วยหมอนทองกับภูมิปัญญาชาวนครปฐม
(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
ข้าวหลาม นครปฐม : ศิลปะบรรจง ลงกระบอก. (2548). นครปฐม.
MGR Online. "ข้าวหลามแม่ลูกจันทร์ ต้นตำรับความอร่อย ข้าวหล าม 100 ปี ของดีนครปฐม".
หน้า 1-2. พ.ศ. 2559. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก:
https://mgronline.com/travel/detail/9590000042073
หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์. "ข้าวหลามนครปฐม ศิลปะบรรจงลงกระบอก". พ.ศ. ม.ป.ป. (ออนไลน์).
เข้าถึงได้จาก:
http://www.snc.lib.su.ac.th/westweb/?p=2522
ภาพ: ลูกสาวงาม
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
ลูกสาวงาม
คำว่า ลูกสาวงาม ในคำขวัญนครปฐม เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อน
ทั้งความงดงามทางร่างกายและคุณลักษณะด้านจิตใจของผู้หญิง ความงามดังกล่าว
มิได้จำกัดเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังหมายถึงความอ่อนโยน น้ำใจไมตรี และ
การธำรงคุณค่าทางวัฒนธรรมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ความโดดเด่นของลูกสาวนครปฐมยังได้รับการกล่าวขานในบทเพลง ซึ่งทำ หน้าที่เป็นสื่อนำเสนอเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมสู่สาธารณะ นอกจากนี้ ความงาม ดังกล่าวยังสะท้อนถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของพื้นที่ ผ่านภาษา เครื่องแต่งกาย ประเพณี และอาหารท้องถิ่น ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดอัตลักษณ์ ที่ทรงคุณค่า ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในการรับรู้ของผู้คนต่างถิ่นและยกย่องว่า ‘ลูกสาวงาม’
ความโดดเด่นของลูกสาวนครปฐมยังได้รับการกล่าวขานในบทเพลง ซึ่งทำ หน้าที่เป็นสื่อนำเสนอเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมสู่สาธารณะ นอกจากนี้ ความงาม ดังกล่าวยังสะท้อนถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของพื้นที่ ผ่านภาษา เครื่องแต่งกาย ประเพณี และอาหารท้องถิ่น ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดอัตลักษณ์ ที่ทรงคุณค่า ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในการรับรู้ของผู้คนต่างถิ่นและยกย่องว่า ‘ลูกสาวงาม’
ภาพ: ลูกสาวงาม
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
ความอมตะของลูกสาวงาม
นครปฐมในบทเพลง
คำว่า “ลูกสาวงาม” ของจังหวัดนครปฐม ได้ถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลง
แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นที่สอดคล้องกับคำขวัญประจำจังหวัด เช่น
เพลงสาวนครปฐม เนื้อเพลงได้บรรยายความงามของผู้หญิงจากอำเภอต่างๆ
ของจังหวัดนครปฐม เช่น กำแพงแสน นครชัยศรี และสามพราน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบผู้หญิงเหล่านั้น กับตัวละครในวรรณคดีที่มี ชื่อเสียงเช่น วาสิฏฐี กินรี และเมรี เป็นต้น การกล่าวขานถึงความงามของหญิงสาว ในเพลงยอดนิยมเป็นเครื่อง การันตีว่า ชื่อเสียงด้านความงามของผู้หญิงนครปฐม ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนของจังหวัด แต่เป็นชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับทั้งในกลุ่ม คนท้องถิ่นและ ผู้มาเยือน
นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบผู้หญิงเหล่านั้น กับตัวละครในวรรณคดีที่มี ชื่อเสียงเช่น วาสิฏฐี กินรี และเมรี เป็นต้น การกล่าวขานถึงความงามของหญิงสาว ในเพลงยอดนิยมเป็นเครื่อง การันตีว่า ชื่อเสียงด้านความงามของผู้หญิงนครปฐม ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนของจังหวัด แต่เป็นชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับทั้งในกลุ่ม คนท้องถิ่นและ ผู้มาเยือน
ภาพ: กินรี และเมรี
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘งาม’ มิได้สะท้อนเพียงรูปลักษณ์ หากยังปรากฏในมิติ
ทางวัฒนธรรม ผ่านบทเพลง วรรณกรรม และการเล่าขานกันมายาวนาน ดั่งบทเพลง
ซึ่งหยิบยกเรื่องราวของหญิงสาวนครปฐมมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความงดงาม ดังนี้
“
1. เพลง “สาวนครปฐม”
ของ เสรี รุ่งสว่าง
( ถูกบันทึกเสียงครั้งแรกในปี พ.ศ.2534 )
เพลง “สาวนครปฐม” ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง ประพันธ์โดย อาจารย์ปฐม มีศรี และบันทึกเสียงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2534 เป็นบทเพลง ลูกทุ่งที่สะท้อนอัตลักษณ์จังหวัดนครปฐม ถ่ายทอดความงดงามของผู้หญิง และความภาคภูมิใจในถิ่นฐาน
เพลง “สาวนครปฐม” ขับร้องโดย เสรี รุ่งสว่าง ประพันธ์โดย อาจารย์ปฐม มีศรี และบันทึกเสียงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2534 เป็นบทเพลง ลูกทุ่งที่สะท้อนอัตลักษณ์จังหวัดนครปฐม ถ่ายทอดความงดงามของผู้หญิง และความภาคภูมิใจในถิ่นฐาน
ภาพ: กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
มีเนื้อหาดังนี้
... สวยงามน่าชม เป็นแดนมหาเจดีย์ สาวกำแพงแสนไม่ขาดแคลนไมตรี สาวดอนตูมสวยดี พูดจาพาที น่ารักทุกคน
สาวนครชัยศรี งามเหมือนเทพีสมเป็นสตรีที่น่ายก ยิ่งสาวสามพรานก็ตาหวานกันทุกคน สาวบางเลนหน้ามน พุทธมณฑลสาวเจ้าโสภี
ทั้งเจ็ดอำเภอ จะเจอแต่คนงาม ขึ้นชื่อหนึ่งในสยาม สาวงามไม่มีหมองศรี เป็นบุญตาที่ได้มาเมืองเจดีย์ ได้อยู่ประจำ คงเข้าที่หาคนดีมอบใจ
สาวนครปฐมทุกคนน่าชม เป็นนวลคู่ควรชิดใกล้ ทั้งเจ็ดอำเภอ ผมเสนอหัวใจ อยู่คู่คุณเรื่อยไป ขอรักจริงใจ สาวเมืองเจดีย์…
ภาพ: กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
เนื้อเพลงนี้กล่าวชื่นชม สาวนครปฐม ในมิติทั้งความงามภายนอก เช่น รูปร่าง หน้าตา และภายใน เช่น ไมตรี กิริยา และวาจา
โดยอาศัยศิลปะการพรรณนาเชิงวรรณศิลป์ที่งดงาม พร้อมทั้งสะท้อนอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของจังหวัดนครปฐม
(เว็บไซต์ คนทำเพลง17 สาวนครปฐม.)
วิดีโอ | สาวนครปฐม
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=y6HvdfyCQ1Q
2.เพลง “สาวนครชัยศรี”
(ชรินทร์ นันทนาคร)
( บันทึกเสียงครั้งแรก ปี พ.ศ.2499 )
เพลง “สาวนครชัยศรี” ขับร้องโดย ชรินทร์ นันทนาคร ประพันธ์ ชาลี อินทร และบันทึกเสียงครั้งแรก ปี พ.ศ.2499 เพลงนี้สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้หญิง นครชัยศรีและความงามแห่งลุ่มน้ำท่าจีน
เพลง “สาวนครชัยศรี” ขับร้องโดย ชรินทร์ นันทนาคร ประพันธ์ ชาลี อินทร และบันทึกเสียงครั้งแรก ปี พ.ศ.2499 เพลงนี้สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้หญิง นครชัยศรีและความงามแห่งลุ่มน้ำท่าจีน
มีเนื้อหาดังนี้
… บุญน้อมใจพี่ให้มาพบ ได้ใกล้ชิดโพสพสาวนครชัยศรี
พี่อ้างว้างหลงทางพลัดที่ แต่เจ้ามีน้ำใจให้ที่อาศัย
เพียงขันหนึ่งน้ำจากมือสาว ต่อชีวิตให้ยาวเพราะสาวกรองจากใจ
เนตรเจ้าคม ผมยาวเคลียไหล่
ผิวคล้ำกร่ำไอแดดลม ไล้กายเจ้า
ตางามยามช้อนชำเลืองชาย ว่าความวายประกายรุ่งดั่งแสงดาว
นครชัยศรีไม่ใชสวยแต่ลูกสาว ข้าวสารก็ขาว ส้มโอนั้นเล่าก็หวานไม่สำอางสวยอย่างนางฟ้า
แต่เจ้าสวยที่สวยวาจา กล่าวขาน
อยากจุมพิศผิวพรายที่กร้าน ไม่หลบลมบ่มแดดเป็นพัน ให้เชิดฉันท์ใช้ให้พี่ปองรัก
ฝากลมบอกความนัยให้ซึ้งเสมอไป ณ สาวนครชัยศรี..
ภาพ: สาวชาวนา ผิวคล้ำตาคม ผมยาว งามด้วยใจและวาจา
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
เนื้อเพลงกล่าวชื่นชม สาวนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ว่าเป็น สาวชาวนา ผิวคล้ำตาคม ผมยาว
งามด้วยใจและวาจา มากกว่าสวยแบบนางฟ้า มีน้ำใจจริงแท้ เป็นเสน่ห์คู่กับของดีเมืองนครชัยศรี เช่น ข้าวสารและส้มโอ
(สาวนครไชยศรี / ดนตรีจริง - Song Lyrics and Music by ชรินทร์ นันทนาคร)
วิดีโอ | สาวนครปฐม
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=_YCEUDCOxzo
3.เพลง สาวคลองจินดา
มนต์สิทธิ์ คำสร้อย
( ปีที่เผยแพร่ พ.ศ. 2543 (2000) ในอัลบั้ม "มนต์สิทธิ์ฮิตตลอดกาล" )
เพลง สาวคลองจินดา ขับร้องโดย มนต์สิทธิ์์ คำสร้อย ประพันธ์โดย จิ๋ว พิจิตร และปีที่เผยแพร่ พ.ศ. 2543 (2000) ในอัลบั้ม"มนต์สิทธิ์ฮิตตลอดกาล” เพลงนี้สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้หญิงคลองจินดา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
เพลง สาวคลองจินดา ขับร้องโดย มนต์สิทธิ์์ คำสร้อย ประพันธ์โดย จิ๋ว พิจิตร และปีที่เผยแพร่ พ.ศ. 2543 (2000) ในอัลบั้ม"มนต์สิทธิ์ฮิตตลอดกาล” เพลงนี้สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้หญิงคลองจินดา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
มีเนื้อหาดังนี้
มาพบนวลน้อง ที่คลองจินดา
พี่นั่งเรือผ่านมา สาวคลองจินดา ยังยิ้มให้พี่
เจ้าจำได้ไหม พี่ผ่านไป เมื่อเล่นดนตรี
อยากพบเนื้อทองน้องพี่ จะมีโอกาสบ้างไหม
… โอ้แม่เนื้อทอง สาวคลอง แก้มใส ภาพยังติดตรึง คะนึง ถึงแต่ทรามวัย น้องจ๋าพี่ลืม ไม่ได้ ขวัญใจ น้องจงจดจำ … พี่จน เหลือเกิน ไร้เงิน มาวางมัดจำ
… โอ้แม่เนื้อทอง สาวคลอง แก้มใส ภาพยังติดตรึง คะนึง ถึงแต่ทรามวัย น้องจ๋าพี่ลืม ไม่ได้ ขวัญใจ น้องจงจดจำ … พี่จน เหลือเกิน ไร้เงิน มาวางมัดจำ
ภาพ: สาวชาวนา ผิวคล้ำตาคม ผมยาว งามด้วยใจและวาจา
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
เนื้อเพลงกล่าวชื่นชม สาวคลองจินดา ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
โดยการ เน้นความงามแบบดั้งเดิมของหญิงไทยริมคลอง ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก เช่น ผิวพรรณและแก้มใส
รอยยิ้มที่น่ารัก ความงามทางอารมณ์ แก่ผู้พบเจอ เสน่ห์เหล่านี้สอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมชุมชนริมคลอง
ทำให้ภาพความงามของสาวคลองจินดาเชื่อมโยงกับสถานที่ ชุมชนโดยรวม
(มนต์สิทธิ์ คำสร้อย - หัวข้อ (บทเพลงYouTube))
วิดีโอ | สาวนครปฐม
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=feJOzogElJg
ความหมายของคำว่า
“สวย” และ “งาม”
จากความหมายของคำว่า “งาม” และ “สวย” ที่ยกมาจาก พจนานุกรมฉบับต่างๆ
จะเห็นได้ว่าคำทั้งสองมีความหมายไปในทางเดียวกัน อาจกล่าวได้ว่า “งาม”
หมายถึง “สวย” และ “สวย” ก็หมายถึง“งาม” เช่นเดียวกัน และจะเห็นได้ว่าคำทั้งสองมีการใช้ในรูปคำซ้อน
ได้แก่“สวยงาม” พจนานุกรมคลังคำ พ.ศ. 2559 ได้รวบรวมคำศัพท์จากคำภาษาไทยแนวใหม่โดยมีการจำแนกคำตามหมวดหมู่ความหมาย
และได้มีการเพิ่มคำใหม่ซึ่งเป็นลูกคำของคำว่า “งาม” และ “สวย” โดยจัดอยู่ในหมวดคำที่เกี่ยวกับความงามและความไม่งาม มีความหมายดังนี้
งาม หมายถึง
ลักษณะที่ชวนพึงใจ เช่น ตางาม ใจงาม มีหลายแบบ
เช่น งามสง่า งามผ่อง งามผุดผาด งามสดใส งามเปล่งปลั่ง งามจับจิต จับใจ งามจับใจจับตา งามเฉิดฉาย งามละมุนละไม งามคมคาย งามผาดงามพิศ งามอย่างเยือกเย็น งามน่ารัก งามยวนตา งามพึงตา งามสะดุดตา งามแฉล้ม งามไฉไล งามพิลาศ งามเลิศ งามสุดซึ้ง งามพริ้ง งามพริ้งเพรา งามประหลาด งามชวนให้เพ่งพิศ งดงามงดงาม; งามแงะ (ไม่ทางการ) งาม (ใช้เฉพาะ) เช่น หน้าตางดงาม
เช่น งามสง่า งามผ่อง งามผุดผาด งามสดใส งามเปล่งปลั่ง งามจับจิต จับใจ งามจับใจจับตา งามเฉิดฉาย งามละมุนละไม งามคมคาย งามผาดงามพิศ งามอย่างเยือกเย็น งามน่ารัก งามยวนตา งามพึงตา งามสะดุดตา งามแฉล้ม งามไฉไล งามพิลาศ งามเลิศ งามสุดซึ้ง งามพริ้ง งามพริ้งเพรา งามประหลาด งามชวนให้เพ่งพิศ งดงามงดงาม; งามแงะ (ไม่ทางการ) งาม (ใช้เฉพาะ) เช่น หน้าตางดงาม
ภาพ: ภาพคนงาม
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
สวย หมายถึง
สวย (มักใช้แก่รูปลักษณ์) เช่น ตาสวย มีหลายแบบ
เช่น สวยซึ้ง สวยพริ้ง สวยบาดตา สวยสะดุดตา สวยสะอาง สวยหยดย้อยสวยหยาดเยิ้ม สวยหยาดฟ้ามาดิน สะสวย หมายถึง งาม (มักใช้แก่รูปลักษณ์ หน้าตา) เช่น ไม่ใช่คน สะสวย หน้าตาสะสวย สวยไม่สร่าง หมายถึง ยังสวยแม้จะอายุมากสวยไม่เสร็จ หมายถึง ไม่สวย เช่น เธอสวยไม่เสร็จไม่น่า
จะได้เป็นนางเอก สวยเลือกได้ หมายถึง สวยมากจนมีโอกาสเลือกผู้ชายที่ ถูกใจที่สุดมาเป็นแฟน สวยสั่งได้ หมายถึง สวยมากจนสามารถบอกให้ผู้ชายทำ ตามความต้องการของตนได้: สวยโดยการทำศัลยกรรม สวยร้อยเมตร หมายถึง สวยเมื่อดูจากระยะไกล สวยแต่รูป จูบไม่หอม หมายถึง สวย แต่ความประพฤติและ กิริยามารยาทไม่ดี (นววรรณ พันธุเมธา, หน้า 4, 2559)
เช่น สวยซึ้ง สวยพริ้ง สวยบาดตา สวยสะดุดตา สวยสะอาง สวยหยดย้อยสวยหยาดเยิ้ม สวยหยาดฟ้ามาดิน สะสวย หมายถึง งาม (มักใช้แก่รูปลักษณ์ หน้าตา) เช่น ไม่ใช่คน สะสวย หน้าตาสะสวย สวยไม่สร่าง หมายถึง ยังสวยแม้จะอายุมากสวยไม่เสร็จ หมายถึง ไม่สวย เช่น เธอสวยไม่เสร็จไม่น่า
จะได้เป็นนางเอก สวยเลือกได้ หมายถึง สวยมากจนมีโอกาสเลือกผู้ชายที่ ถูกใจที่สุดมาเป็นแฟน สวยสั่งได้ หมายถึง สวยมากจนสามารถบอกให้ผู้ชายทำ ตามความต้องการของตนได้: สวยโดยการทำศัลยกรรม สวยร้อยเมตร หมายถึง สวยเมื่อดูจากระยะไกล สวยแต่รูป จูบไม่หอม หมายถึง สวย แต่ความประพฤติและ กิริยามารยาทไม่ดี (นววรรณ พันธุเมธา, หน้า 4, 2559)
ภาพ: ภาพคนสวย
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
”
จากการสัมภาษณ์ อาจารย์ สัญญา สุดล้ำเลิศ ข้าราชการบํานาญ กล่าวว่า
“ความสวยความงาม” เป็นแนวคิดที่มีลักษณะเป็นความนิยมเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล
ซึ่งไม่อาจกำหนดได้อย่างชัดเจนว่าความงามคืออะไร โดยทั่วไป “ความสวย”
มักหมายถึงความงามทางกายภาพหรือรูปลักษณ์ภายนอก ขณะที่ “ความงาม”
ในอีกความหมายหนึ่ง หมายถึงความดีงามทางจิตใจและพฤติกรรม เช่น
กิริยามารยาท ความสุภาพอ่อนโยน และการพูดจาไพเราะ ดังนั้น “คนสวย”
จึงหมายถึงผู้ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกงดงาม ส่วน “คนงาม” หมายถึงผู้ที่มี
ความงามภายใน
“
อย่างไรก็ตาม ค่านิยมความงามของผู้หญิงนครปฐมอาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์
ทำให้เกิดความงามเฉพาะถิ่น ต่อคำขวัญนครปฐมที่ว่า ลูกสาวงาม ซึ่งมิได้สะท้อนเพียงรูปลักษณ์ภายนอก
แต่ความงามเฉพาะถิ่นเหล่านี้ได้หล่อหลอมสู่อัตลักษณ์ที่ทรงคุณค่า และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันมีเสน่ห์ของนครปฐม
กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย
ในลุ่มน้ำนครชัยศรี
จากสภาพสังคมลุ่มแม่น้ำท่าจีนในช่วงก่อน พ.ศ. 2398 ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย
ทั้งไทย, ลาว, จีน, มอญ, ญวน และเขมร ที่ยังคงรักษา
วัฒนธรรมและประเพณีของตนเอง มีความสัมพันธ์แบบแลกเปลี่ยนผลผลิตและ
พึ่งพาอาศัยกัน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและต้องเสียภาษี
ให้รัฐ การเพิ่มขึ้นของประชากรมาจากการอพยพ, การถูกกวาดต้อน, การบุกเบิก
ที่ดิน และการค้าขาย ชุมชนมักก่อตัวบริเวณจุดเชื่อมต่อแม่น้ำกับคลองสำคัญ
กลายเป็นศูนย์กลางการค้า, การคมนาคม และมีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจ
ภาพ: กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายในลุ่มน้ำนครชัยศรี
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
กลุ่มคนจีน
คนจีนมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ผลิตทางการเกษตร
เพื่อการค้า คนจีนเหล่านี้อพยพมาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาในกรุงเทพฯ
ก่อนเดินทางไปตั้งถิ่นฐานตามที่ต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำท่าจีน โดยกลุ่มคนจีนมีความ
ชำนาญด้านการทำสวนยกร่อง และนำเทคนิคนี้มาเผยแพร่
ภาพ: กลุ่มคนจีน
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
กลุ่มลาวโซ่ง
ลาวโซ่งอพยพมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นครปฐมมานานกว่า 100 ปี โดยส่วนใหญ่
นิยมตั้งบ้านเรือนบริเวณริมน้ำ เนื่องจากลาวโซ่งนิยมทำการเกษตรและการทำนา
ภาพ: กลุ่มลาวโซ่ง
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
กลุ่มลาวเวียง
ลาวเวียงอพยพมาตั้งถิ่นฐานบริเวณลุ่มน้ำท่าจีนตั้งแต่ช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
โดยถูกกวาดต้อนมาจากเวียงจันทน์ มีการตั้งบ้านเรือนกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ
ภาพ: กลุ่มลาวเวียง
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
กลุ่มเขมร
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ามีการกวาดต้อนเขมรและญวน
(เวียดนาม) มาสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยพบว่ามีชาวเขมรและญวนมาตั้ง
บ้านเรือนในลุ่มแม่น้ำท่าจีน และบริเวณปากคลองเจดีย์บูชา
ภาพ: กลุ่มเขมร
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
กลุ่มมอญ
มอญอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ 2 และตั้งบ้านเรือน
ตามริมแม่น้ำรอบกรุงเทพฯ กระจายมาถึงบริเวณท่ามอญ หรือวัดไทยาวาส
ในปัจจุบัน
(หนังสือ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคกลาง ชุมชนลุ่มน้ำนครชัยศรี, หน้า 20-47)
ภาพ: กลุ่มมอญ
ที่มา: gemini
ที่มา: gemini
”
จากการสัมภาษณ์ อาจารย์ สัญญา สุดล้ำเลิศ ข้าราชการบํานาญ กล่าวว่า
จังหวัดนครปฐมนั้นก็มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์อย่างมาก มีครอบครัวเชื้อสายจีน
ผสมอยู่บางส่วน บางครอบครัวมีเชื้อสายเวียดนามหรือมอญ ซึ่งเมื่อแต่งงานข้ามเชื้อชาติ
และมีบุตรหลานรุ่นต่อรุ่น ก็ยิ่งเกิดการผสมผสานของชาติพันธุ์มากขึ้น จนไม่สามารถระบุ
ได้อย่างชัดเจน กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม เช่น ชุมชนมอญในพื้นที่ “ท่ามอญ” หรือชุมชน
แขกใน“โคกแขก” ซึ่งเดิมเคยเป็นแหล่งอาศัยของคนมอญ หรือบริเวณ “ท่าจีน”
ที่เคยเป็นถิ่นชาวจีนตั้งถิ่นฐานในอดีต แม้ปัจจุบันพื้นที่เหล่านี้จะเหลือเพียงชื่อเรียก
แต่ก็สะท้อนถึงร่องรอยทางชาติพันธุ์ที่หลอมรวมกันมาจนกลายเป็นความหลากหลาย
ของเชื้อชาติแบบผสมผสานในปัจจุบัน
“
บทสรุป
นครปฐมเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มาตั้งแต่อดีต ทั้งกลุ่มคนไทย, ลาว, จีน, มอญ, ญวน และเขมร
ตลอดจนผู้คนต่างถิ่นที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นครปฐม การผสมผสานทางวัฒนธรรมนี้ส่งผลต่อเชื้อชาติ วิถีชีวิต และประเพณี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปลักษณ์ของผู้หญิง ผู้หญิงนครปฐมจึงถูกมองว่ามีความงดงามเป็นพิเศษ ด้วยความกลมกลืนทางชาติพันธุ์
ส่งผลต่อผิวพรรณ หน้าตา และการแต่งกาย ที่ประกอบไปด้วยความละมุนแบบไทย ความคมเข้มแบบมอญ–เขมร และความละเมียดละไมแบบจีน
ซึ่งหล่อหลอมกันจนเกิดเป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น
ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า “ลูกสาวนครปฐม งามทั้งกาย งามทั้งใจ” ไม่ได้หมายถึงแค่ความสวยภายนอก แต่ยังหมายถึงความอ่อนโยน มีไมตรี และความภาคภูมิใจในรากเหง้าที่เกิดจากการผสมผสานทางชาติพันธุ์ จนกลายเป็นความงามที่เป็นอัตลักษณ์ ความงามเหล่านี้เชื่อมโยงถึงคำว่า “ลูกสาวงาม” นำไปสู่คำขวัญของ จังหวัดนครปฐม
ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า “ลูกสาวนครปฐม งามทั้งกาย งามทั้งใจ” ไม่ได้หมายถึงแค่ความสวยภายนอก แต่ยังหมายถึงความอ่อนโยน มีไมตรี และความภาคภูมิใจในรากเหง้าที่เกิดจากการผสมผสานทางชาติพันธุ์ จนกลายเป็นความงามที่เป็นอัตลักษณ์ ความงามเหล่านี้เชื่อมโยงถึงคำว่า “ลูกสาวงาม” นำไปสู่คำขวัญของ จังหวัดนครปฐม
วิดีโอ | ลูกสาวงาม
แหล่งอ้างอิง
หนังสือ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคกลาง ชุมชนลุ่มน้ำนครชัยศรี : หน้า 20-47
เว็บไซต์ Facebook ชรินทร์ นันทนาคร official (ออนไลน์)
https://www.facebook.com/groups/charinshow/posts/28175901278659844/
หนังสือเว็บไซต์.การปรากฏใช้และการขยายความหมายของคำว่า“สวย” จากอดีตสู่ปัจจุบัน (นววรรณ พันธุเมธา) (ออนไลน์)
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/damrong/article/download/229686/164768
มนต์สิทธิ์ คำสร้อย - หัวข้อ(บทเพลงYouTube)(ออนไลน์)
https://youtu.be/QQwLnzCtS2I?si=w0xYthXTlAAk9xzF
เว็บไซต์ คนทำเพลง17 สาวนครปฐม.(ออนไลน์)
https://intrend.trueid.net/central/nakhon-pathom/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8
%B3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87-17-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%
B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1-trueidintrend_269562
สาวนครไชยศรี / ดนตรีจริง - Song Lyrics and Music by ชรินทร์ นันทนาคร (ออนไลน์)
https://www.smule.com/song/%E0%B8%8A%E0%B8%A3-%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%
ประวัติความเป็นมาของ
ข้าวหลามนครปฐม
ข้าวหลามนครปฐมเป็นอาหารพื้นบ้านที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ โดยในระยะแรก
ทำขึ้นเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน เนื่องจากนครปฐมในอดีต มีสภาพเป็นป่า
จึงเต็มไปด้วยต้นไผ่ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่นำมาใช้ในการผลิตนอกจากนั้น บริเวณ
พื้นที่ริมแม่น้ำท่าจีนหรือแม่น้ำนครชัยศรียังเอื้ออำนวยการต่อการปลูกมะพร้าว
กันมาช้านาน มะพร้าวเหล่านี้ถือเป็นวัตถุดิบอย่างดีสำหรับนำมาคั้นเป็นน้ำกะทิ
เพื่อปรุงรสชาติข้าวหลามให้ถูกปากคนชิม การทำข้าวหลามขายในเขตจังหวัด
นครปฐมไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจน สันนิษฐานว่าเริ่มมีการทำอย่างจริงจังใน
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
ในสมัยก่อนการเดินทางไปจังหวัดนครปฐมโดยมากเป็นการคมนาคมทางน้ำ โดยใช้แม่น้ำท่าจีนเป็นทางสัญจรหลัก ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้มีการสร้างทางรถไฟสายใต้เพื่อใช้เป็นทางคมนาคมขนส่ง นครปฐมจึง รุ่งเรืองนับตั้งแต่นั้นมา
ในสมัยก่อนการเดินทางไปจังหวัดนครปฐมโดยมากเป็นการคมนาคมทางน้ำ โดยใช้แม่น้ำท่าจีนเป็นทางสัญจรหลัก ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้มีการสร้างทางรถไฟสายใต้เพื่อใช้เป็นทางคมนาคมขนส่ง นครปฐมจึง รุ่งเรืองนับตั้งแต่นั้นมา
ภาพ: พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
ที่มา: https://history.tmc.or.th/html/
ที่มา: https://history.tmc.or.th/html/
กล่าวได้ว่าเมื่อมีทางรถไฟ ผู้คนจากพื้นที่ใกล้เคียงต่างมุ่งหน้าสู่นครปฐม
เพื่อเดินทางต่อไปยังจังหวัดอื่นหรือเข้าสู่กรุงเทพ และมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเข้าสู่สมัยรัชกาลที่ 6 จากคำบอกเล่ากล่าวว่าสมัยนั้นข้าวหลามเริ่มมีการ
วางขายหน้าสถานีรถไฟกันมากขึ้น โดยส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าจะวางกระบอก
ข้าวหลามเรียงรายอยู่ในกระจาด ขายกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พอรุ่งขึ้นกิจกรรมแบบ
เก่าก็ดำเนินต่อไปเป็นอย่างนี้เรื่อยมา จนระยะหลังมีการตัดถนนเส้นทางรถยนต์
มีการขยายตัว ทำให้ผู้คนเริ่มเปลี่ยนเส้นทางในการเดินทาง ปัจจุบันข้าวหลามยัง
นิยมนำมาวางขายกันที่บริเวณตลาดหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นแหล่งการค้า
และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดนครปฐม
ต้นกำเนิดของ
ข้าวหลามนครปฐม
ประวัติความเป็นมาของข้าวหลามนครปฐมยังไม่ทราบช่วงเวลาที่
แน่นอน แต่พบร่องรอยของ ข้าวหลามปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 5 จาก
ภาพถ่ายเมื่อครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จมานครปฐมผ่านบริเวณสถานี
รถไฟมาองค์พระปฐมเจดีย์ ในภาพถ่ายมีคนขายข้าวหลามสองข้างทาง
แสดงว่า ข้าวหลามนครปฐมเริ่มมีมาแล้วในสมัยนั้น และเมื่อสอบถาม
จากผู้เฒ่าผู้แก่ ทราบว่าแหล่งกำเนิดการทำข้าวหลามนครปฐมขณะนั้นคือ
บริเวณชุมชนหมู่บ้านพระงาม ตำบลพระปฐมเจดีย์ โดยบรรพบุรุษซึ่ง
อพยพมาจาก ถิ่นอื่นซึ่งมีอาชีพหลักคือการทำนา สำหรับการทำข้าวหลาม
นั้นมีการทำปีละครั้งในทุก ๆ ครัวเรือน ช่วงเทศกาลหลัง 3 ค่ำ เดือน 3
จนถึงเดือน 4 (ราวเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม) และไม่มีการทำในช่วงอื่น
ภาพ : ข้าวหลามนครปฐม
ภาพ : คนขายข้าวหลามสองข้างทางจากสถานีรถไฟไปองค์พระปฐมเจดีย์
ที่มา : หนังสือข้าวหลามนครปฐม
ต่อมาเมื่อมีผู้นำข้าวหลามมาประกอบเป็นอาชีพจึงมีการทำขายตลอดปี
นอกจากนี้ยังพบว่าบริเวณชุมชนวัดพระงามและวัดไผ่ล้อมในอดีต มีไม้ไผ่มาก
ต่อมาผู้คนนิยมทำข้าวหลามสำหรับเป็นอาหารในการเดินทาง โดยการนำอาหาร
และของทุกอย่างที่ใส่กระบอกและนำไปเผาไฟจะเรียกว่า "หลาม" เช่น ปลาหลาม
ยาหลาม (ยาสมุนไพรที่เผาในกระบอกให้สุก) ดังนั้นข้าวเหนียวผสมกะทิในกระบอก
จึงเรียกว่า "ข้าวหลาม" (ข้าวหลามนครปฐม, 2548)
สำหรับความหมายของ “ข้าวหลาม” ความหมายตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง ข้าวเหนียวที่บรรจุในกระบอกไม้ไผ่แล้วเผาให้สุก (น.)
สำหรับความหมายของ “ข้าวหลาม” ความหมายตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง ข้าวเหนียวที่บรรจุในกระบอกไม้ไผ่แล้วเผาให้สุก (น.)
ยุคสมัยของ
ข้าวหลามนครปฐม
"ข้าวหลามเสวย"
ยุคทองข้าวหลามนครปฐม
จากคำบอกเล่ากล่าวว่า แม่ทรัพย์เป็นผู้บุกเบิกการทำข้าวหลามเป็นเจ้าแรก ๆ
และเริ่มขายกันมากขึ้นที่หน้าสถานีรถไฟนครปฐม เนื่องจากเมืองนครปฐมตั้งอยู่ใน
เส้นทางรถไฟสายใต้ระหว่างกรุงเทพฯกับภาคใต้ ดังนั้นจึงมีผู้สัญจรผ่านไปมามากมาย
และผู้คนในพื้นที่ใกล้เคียงที่ต่างมุ่งหน้าสู่นครปฐมเพื่อโดยสารรถไฟไปจังหวัดอื่น
ทำให้ข้าวหลามเป็นหนึ่งในอาหารที่มีการนำมาขายให้กับคนที่รอโดยสารรถไฟ
ในสมัยนั้น
ภาพ : ข้าวหลามนครปฐม
ข้าวหลามที่เร่ขายที่สถานีรถไฟในระยะแรก มี 3 เจ้าด้วยกัน คือ แม่ทรัพย์ ยายหมา
และยายเพา ซึ่งเป็นเครือญาติกัน ต่อมายายหมากับยายเพาเลิกกิจการไป แม่ทรัพย์
จึงเป็นเจ้าเดียวที่เหลืออยู่ในขณะนั้น ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิก “ตลาดข้าวหลาม”
โดยขายอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟราวสิบปี กระทั่งในบริเวณวัดพระปฐมเจดีย์มีโรงภาพยนตร์
และโรงลิเกตาเซียะตาเฮงเกิดขึ้น แม่ทรัพย์และลูก ๆ จึงย้ายไปขายที่นั่น จากนั้น
เริ่มมีคนมาขอช่วยแม่ทรัพย์ทำข้าวหลามแล้วศึกษาวิธีการและสูตรการทำจาก
แม่ทรัพย์ไปประกอบอาชีพทำข้าวหลามกันมากขึ้น ต่อมาทางวัดพระปฐมเจดีย์
จะล้อมกำแพงแก้ว โรงหนังและโรงลิเกต้องย้ายออกไป แม่ทรัพย์กับลูกๆ จึงย้าย
ไปขายที่โคนต้นมะขามซอยกลางหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ที่มีเพิงให้ขายของอยู่แล้ว
ซึ่งช่วงนี้มีผู้ทำข้าวหลามเกิดขึ้นจำนวนมาก
ภาพ : แม่ทรัพย์ สาธิตการทำข้าวหลามถวายในหลวง
ที่มา : หนังสือข้าวหลามนครปฐม
ที่มา : หนังสือข้าวหลามนครปฐม
ยุครุ่งเรืองของข้าวหลามนครปฐมหรือที่เรียกว่า “ยุคข้าวหลามเสวย” เกิดจาก
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมในสมัยนั้นคือนายพล วงศาโรจน์ และนายสว่าง แก้ววิจิตร
นายกเทศมนตรีขอให้แม่ทรัพย์ จากชุมชนพระงาม ผู้มีฝีมือการทำอาหารและ
ข้าวหลามได้อร่อยมาก มาสาธิตการทำข้าวหลามถวาย พระบาทสมเด็จ
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9)
ให้ทอดพระเนตรในคราวที่เสด็จ ฯ พระราชวังสนามจันทร์จังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย
พระราชอาคันตุกะเมื่อ พ.ศ. 2503 ทำให้ชื่อเสียงของข้าวหลามนครปฐมได้แพร่หลาย
ออกไปมากขึ้น และกลายเป็นที่มาของคำว่า "ข้าวหลามเสวย"
(ข้าวหลามนครปฐม, 2548)
ภาพ : ข้าวหลามนครปฐม
ต่อมาข้าวหลามนครปฐมถูกนำเสนอในฐานะ “ข้าวหลามเสวย” ร้านค้าหลายแห่ง
ในนครปฐม โดยเฉพาะริมถนนเพชรเกษมและบริเวณหน้าสถานีรถไฟนครปฐม
ได้กลายเป็นแลนด์มาร์ก (Landmark) ของนักท่องเที่ยว คนเดินทางผ่านต้องแวะซื้อ
ข้าวหลามเป็นของฝากกลับบ้าน และนอกจากนี้ยังมีร้านเก่าแก่ เช่น ข้าวหลาม
แม่ลูกจันทร์, ข้าวหลามลุงยักษ์, ข้าวหลามเจ๊ตุ่ม เป็นต้น ถูกพูดถึงในสื่อและสังคม
ว่าเป็นของฝากขึ้นชื่อจังหวัดนครปฐม จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการอ้างถึงความเป็น “ต้นตำรับ”
(เว็บไซต์ MGR Online, 2559)
ภาพ : ข้าวหลามนครปฐม
ยุคตกต่ำของข้าวหลามนครปฐม
ภายหลังเมื่อมีผู้บริโภคจำนวนมากขึ้น ผู้ผลิตจึงได้เร่งเพิ่มจำนวนการผลิต ทำให้ข้าวหลามสุกไม่ทั่วถึง
ประกอบกับการจำหน่ายผ่านพ่อค้าคนกลางพบว่า มีการนำข้าวหลามที่เหลือจากการจำหน่ายซึ่งบูดไปแล้ว
นำไปจำหน่ายต่อ ทำให้ข้าวหลามนครปฐมเสียชื่อเสียงและเริ่มประสบปัญหา เมื่อผนวกกับการขาดสถานที่
จำหน่ายที่เป็นหลักแหล่งประจำทำให้การขายลดจำนวนลง ต่อมาเมื่อมีการตัดถนนพระรามที่ 2
กรุงเทพฯ – สมุทรสงคราม ทำให้รถที่เคยวิ่งระหว่างกรุงเทพ ฯ กับภาคใต้ไม่ผ่านตัวเมืองนครปฐม และขาด
จุดจำหน่ายสินค้าประจำจังหวัด รวมทั้งต้นทุนการผลิตข้าวหลามที่สูงขึ้น ทำให้อาชีพการทำข้าวหลาม
ซบเซาลง นอกจากนี้ปัญหาอาจเกิดจากผู้ผลิตข้าวหลามที่ขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ
ของผู้บริโภค โดยยังคงทำตามแบบเดิมที่ทำขายกันมา ทำให้ข้าวหลามจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้บริโภคจำนวนน้อย
(ข้าวหลามนครปฐม, 2548)
ภาพ : ข้าวหลามนครปฐม
จากยุคตกต่ำสู่ยุคข้าวหลาม
ทางเลือกของนครปฐม
ในปัจจุบันอาชีพการทำข้าวหลามในชุมชนพระงามจะลดจำนวนลงเหลือเพียงไม่กี่รายเมื่อเทียบ
กับอดีต เนื่องจากประสบทั้งปัญหาด้านต้นทุนและช่องทางการจำหน่าย จนเกือบจะสูญหายเหลือเพียงคำบอกเล่าของอร่อยในกระบอกไม้ไผ่ในตำนาน
แต่ยังนับว่ายังเป็นความพยายามในการอนุรักษ์ของชาวนครปฐม ที่ยังสามารถรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจนปัจจุบัน
จากปัญหาที่เกิดขึ้นของข้าวหลามที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความร่วมมือของจังหวัดและ ทุกภาคส่วนในเวลาต่อมา นำโดย นายประสาท พงษ์ศิวาภัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ในขณะนั้น ได้ช่วยกันพลิกฟื้นฟูและพัฒนาข้าวหลามนครปฐมให้กลับมามีชื่อเสียง โดยมอบหมายให้สำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดนครปฐมจัดทำโครงการข้าวหลามหวานมันจังหวัดนครปฐม มีคุณภาพเป็นที่หนึ่ง ของประเทศ ภายในปี 2550
โครงการดังกล่าวได้มีการผลักดันให้มีการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพของข้าวหลามตลอดจน สถานที่ผลิต ให้ได้ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข เป็นที่เชื่อมั่นต่อผู้บริโภคในด้านความสะอาด ปลอดภัย ซึ่งมีผู้ผลิตข้าวหลามที่ผ่านเกณฑ์ประเมินในปี 2548 จำนวน 17 ราย และในปี 2549 ได้มีการคิดค้นข้าวหลามสูตรใหม่ๆ ทั้งที่เป็นอาหารคาว - อาหารหวาน ขึ้น รวม 12 สูตร เพื่อสร้าง ความหลากหลายของรสชาติ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคโดยคงไว้ ซึ่งภูมิปัญญาตามศาสตร์และศิลป์ดั้งเดิมทุกขั้นตอนการผลิต อันเป็นเอกลักษณ์ของข้าวหลามนครปฐม
นอกจากนั้น ทางจังหวัดยังช่วยผลักดันให้ข้าวหลามเข้าสู่การคัดสรรเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ระดับประเทศ (OTOP) เพื่อยกระดับข้าวหลาม ให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ ในปี 2547 ข้าวหลามนครปฐม (แม่แอ๊ด ตันเสียงสม) ก็สามารถคว้ารางวัล ระดับ 3 ดาว สร้างชื่อเสียงให้กับข้าวหลามนครปฐม นับเป็นข้าวหลามเจ้าแรกในประเทศที่ได้รับรางวัลนี้ และจังหวัดนครปฐม ยังเป็นจังหวัดแรกและจังหวัด เดียวของประเทศ ที่ได้ดำเนินการเรื่องมาตรฐาน และมี อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) เป็นเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ข้าวหลามอีกด้วย (เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลตะวันตก หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2568)
จากปัญหาที่เกิดขึ้นของข้าวหลามที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความร่วมมือของจังหวัดและ ทุกภาคส่วนในเวลาต่อมา นำโดย นายประสาท พงษ์ศิวาภัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ในขณะนั้น ได้ช่วยกันพลิกฟื้นฟูและพัฒนาข้าวหลามนครปฐมให้กลับมามีชื่อเสียง โดยมอบหมายให้สำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดนครปฐมจัดทำโครงการข้าวหลามหวานมันจังหวัดนครปฐม มีคุณภาพเป็นที่หนึ่ง ของประเทศ ภายในปี 2550
โครงการดังกล่าวได้มีการผลักดันให้มีการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพของข้าวหลามตลอดจน สถานที่ผลิต ให้ได้ตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข เป็นที่เชื่อมั่นต่อผู้บริโภคในด้านความสะอาด ปลอดภัย ซึ่งมีผู้ผลิตข้าวหลามที่ผ่านเกณฑ์ประเมินในปี 2548 จำนวน 17 ราย และในปี 2549 ได้มีการคิดค้นข้าวหลามสูตรใหม่ๆ ทั้งที่เป็นอาหารคาว - อาหารหวาน ขึ้น รวม 12 สูตร เพื่อสร้าง ความหลากหลายของรสชาติ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคโดยคงไว้ ซึ่งภูมิปัญญาตามศาสตร์และศิลป์ดั้งเดิมทุกขั้นตอนการผลิต อันเป็นเอกลักษณ์ของข้าวหลามนครปฐม
นอกจากนั้น ทางจังหวัดยังช่วยผลักดันให้ข้าวหลามเข้าสู่การคัดสรรเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ระดับประเทศ (OTOP) เพื่อยกระดับข้าวหลาม ให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ ในปี 2547 ข้าวหลามนครปฐม (แม่แอ๊ด ตันเสียงสม) ก็สามารถคว้ารางวัล ระดับ 3 ดาว สร้างชื่อเสียงให้กับข้าวหลามนครปฐม นับเป็นข้าวหลามเจ้าแรกในประเทศที่ได้รับรางวัลนี้ และจังหวัดนครปฐม ยังเป็นจังหวัดแรกและจังหวัด เดียวของประเทศ ที่ได้ดำเนินการเรื่องมาตรฐาน และมี อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) เป็นเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ข้าวหลามอีกด้วย (เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลตะวันตก หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2568)
นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์ นายเสวก ประดับแก้ว ผู้ประกอบการกิจการข้าวหลามร้านข้าวหลาม
ยายไผ่ ได้กล่าวถึงบทบาทของข้าวหลามนครปฐมในยุคปัจจุบันว่า ปัจจุบันข้าวหลามยังคงมีบทบาทสำคัญ
ต่อวิถีชีวิตของชุมชนวัดพระงาม โดยเป็นอาชีพของคนในพื้นที่ และเป็นของฝากที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของ
คนนครปฐม โดยวัตถุดิบที่ใช้ทำข้าวหลามนครปฐมในปัจจุบันได้นำมาจากหลายแหล่ง ได้แก่ ข้าวเหนียว
จากภาคเหนือ ถั่วจากภาคเหนือ และไม้ไผ่จากจังหวัดกาญจนบุรี โดยจุดเด่นของข้าวหลามนครปฐมคือ
การใช้ใบตองอุดปากกระบอกเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกและแมลง
ภาพ: ประเพณีตักบาตรข้าวหลาม
การเชื่อมโยงกับประเพณี
ประเพณีตักบาตรข้าวหลาม
วัดพระงาม จังหวัดนครปฐม
ข้าวหลามนับเป็นภูมิปัญญาสำคัญที่อยู่คู่กับจังหวัดนครปฐมมาตั้งแต่ในอดีต
จวบจนปัจจุบัน สืบเนื่องจากสภาพภูมินิเวศของนครปฐมที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่ม
ภาคกลาง ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมและแหล่งทำนาปลูกข้าวที่สำคัญ จึงมีประเพณี
พิธีกรรมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำนาปลูกข้าว เช่น พิธีทำขวัญข้าว
พิธีแห่นางแมวขอฝน และการเผาข้าวหลามไปถวายพระ เป็นต้น ความอุดมสมบูรณ์
ของพื้นที่ทำให้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชุมชนขนาดใหญ่ที่มีหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์
อาทิ ไทย มอญ ลาวและจีน เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้มีการผสมผสานทางพิธีกรรมและ
คติความเชื่อจนกลายเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม
ชุมชนวัดพระงามมีความโดดเด่นในการประกอบอาชีพทำข้าวหลามมาอย่างยาวนาน
อาจเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านข้าวหลาม ในส่วนประเพณีตักบาตรข้าวหลามนั้นผู้เฒ่า
ผู้แก่เล่าว่า ในอดีตทำกันปีละครั้ง โดยนำข้าวหลามไปใส่บาตรพระที่มาบิณฑบาต
เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับของตนในวันสงกรานต์หรือวันสำคัญ
ทางศาสนา
ภาพ: ประเพณีตักบาตรข้าวหลาม
จากร่องรอยประเพณี พิธีกรรม และวัฒนธรรมของผู้คนในชุมชนวัดพระงาม
ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตน ส่งผลให้เกิดประเพณีที่สำคัญ คือ ประเพณี
ตักบาตรข้าวหลาม ณ วัดพระงาม ในวันสำคัญทางศาสนา โดยเป็นประเพณีที่สะท้อน
ถึงความเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดและเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้คนในชุมชนวัดพระงาม
(เว็บไซต์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, 2568)
ภาพ: ประเพณีตักบาตรข้าวหลาม
ร้านข้าวหลาม
เมืองนครปฐม ชื่อดัง
ข้าวหลามแม่ลูกจันทร์
ข้าวหลามแม่ลูกจันทร์ เป็นร้านข้าวหลามเก่าแก่คู่จังหวัดนครปฐมสืบทอดสูตรดั้งเดิมมาตั้งแต่
รัชกาลที่ 5 ปัจจุบันดำเนินกิจการโดยทายาทรุ่นที่ 4 โดยทางร้านมีการผลิตข้าวหลามหลายสูตร ได้แก่
- ข้าวหลามสูตรดั้งเดิม มีให้เลือกทั้งข้าวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำ
- ข้าวหลามสังขยา มีให้เลือกทั้งข้าวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำ
- ข้าวหลามบ๊ะจ่าง
ภาพ : ข้าวหลามแม่ลูกจันทร์
”
จากการสัมภาษณ์ คุณสมิตรา ภู่เพนียด (ป้าแป๊ว) เจ้าของร้านข้าวหลาม
แม่ลูกจันทร์ ได้กล่าวว่า ข้าวหลามสูตรแม่ลูกจันทร์มีความโดดเด่นและแตกต่าง
จากข้าวหลามทั่วไป เนื่องจากเป็นการทำข้าวหลามในลักษณะ "แบบแห้ง"
ซึ่งต่างจากกรรมวิธีของผู้ผลิตรายอื่น ถึงแม้จะมีลักษณะแห้ง แต่ข้าวหลาม
แม่ลูกจันทร์ก็ยังคงรสชาติที่ หวาน มัน อย่างลงตัว
“
ข้าวหลามแม่เล็ก
รอดบางยาง
ข้าวหลามแม่เล็ก รอดบางยาง เป็นร้านข้าวหลามชื่อดังในจังหวัดนครปฐม
ตั้งอยู่บริเวณใกล้องค์พระปฐมเจดีย์มีเอกลักษณ์คือการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ
ตั้งแต่ข้าวเหนียวที่นุ่มหอมกะทิสดใหม่ไปจนถึงการเลือกกระบอกไม้ไผ่ขนาดพอดี
เหมาะสำหรับการเผา โดยทางร้านมีการผลิตข้าวหลามหลายสูตร ได้แก่
- ข้าวหลามสูตรดั้งเดิม มีให้เลือกทั้งข้าวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำ
- ข้าวหลามสังขยา มีให้เลือกทั้งข้าวเหนียวขาวและข้าวเหนียวดำ
- ข้าวหลามบ๊ะจ่าง
ภาพ : ข้าวหลามแม่เล็กรอดบางยาง
ข้าวหลามยายไผ่
ข้าวหลามยายไผ่ ตำนานความอร่อยกว่า 80 ปี เจ้าของสูตรข้าวหลาม OTOP
ของนครปฐม โดยทางร้านมีการผลิตข้าวหลาม 9 สูตร ได้แก่
- ข้าวหลามบ๊ะจ่าง
- ข้าวหลามธัญพืช
- ข้าวหลามข้าวเหนียวดำ
- ข้าวหลามข้าวเหนียวขาว
- ข้าวหลามถั่วดำ
- ข้าวหลามสังขยา
- ข้าวหลามอัญชัน
- ข้าวหลามใบเตย
- ข้าวหลามแปะก๊วย
ภาพ : ข้าวหลามยายไผ่
ที่มา : https://www.facebook.com/profile.php?id=100054200093498
ที่มา : https://www.facebook.com/profile.php?id=100054200093498
ทั้งนี้ข้าวหลามแต่ละสูตรและแต่ละร้านในจังหวัดนครปฐม มีเอกลักษณ์
และรสชาติความอร่อยที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต วัตถุดิบที่ใช้
และความชำนาญของผู้ผลิต ทั้งข้าวหลามสูตรดั้งเดิม ข้าวหลามสังขยา
ข้าวหลามบ๊ะจ่าง และสูตรพิเศษอื่น ๆ ล้วนสะท้อนถึงภูมิปัญญาและประสบการณ์
ของแต่ละร้าน อีกทั้งความนิยมในการบริโภคยังแตกต่างกันตามช่วงเวลาและ
ความชื่นชอบของผู้บริโภค การเลือกซื้อข้าวหลามจึงขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนบุคคล
และโอกาสในการลิ้มลอง ทำให้การชิมข้าวหลามเป็นทั้งการสัมผัสวัฒนธรรม
ท้องถิ่นและการเพลิดเพลินกับรสชาติที่หลากหลายอย่างแท้จริง
ภาพ : ข้าวหลามนครปฐม
วิดีโอ | ข้าวหลามหวานมัน
แหล่งอ้างอิง
วิพุธ วิวรณ์วรรณ. (2545). สลกบาตรห้วยหมอนทองกับภูมิปัญญาชาวนครปฐม(พิมพ์ครั้งที่ 2).
กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
ข้าวหลาม นครปฐม : ศิลปะบรรจง ลงกระบอก. (2548). นครปฐม.
MGR Online. "ข้าวหลามแม่ลูกจันทร์ ต้นตำรับความอร่อย ข้าวหล าม 100 ปี ของดีนครปฐม".
หน้า 1-2. พ.ศ. 2559. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก:
https://mgronline.com/travel/detail/9590000042073
หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์. "ข้าวหลามนครปฐม ศิลปะบรรจงลงกระบอก". พ.ศ. ม.ป.ป. (ออนไลน์).
เข้าถึงได้จาก:
http://www.snc.lib.su.ac.th/westweb/?p=2522
พระราชวัง สนามจันทร์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ครั้งยังทรงดำรง
พระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร
เสด็จแปรพระราชฐานไปนครปฐมอยู่บ่อยครั้ง และโดยปกติจะประทับที่พระตำหนัก
ใกล้ ๆ องค์พระปฐมเจดีย์เรียกว่า พระตำหนักบังกาโล (เวลานี้ได้รื้อลงแล้ว)
สืบเนื่องจากทรงคุ้นเคยกับภูมิประเทศเมืองนครปฐมและบริเวณใกล้เคียงเป็นอย่างดี
จึงนำไปสู่พระราชดำริในการสร้างพระราชวังสนามจันทร์ในเวลาต่อมา
เมื่อครั้งรัชกาลที่ 6 เสด็จนครปฐมก็มักจะเสด็จไปทอดพระเนตรที่ดินบริเวณ สระน้ำจันทร์หลังองค์พระปฐมเจดีย์บ่อยๆ โดยจมื่นอมรดรุณารักษ์กล่าวว่า ทรงเห็นว่า เป็นชัยภูมิสวยงาม มีหนองน้ำอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเรียกว่า "หนองน้ำจันทร์" ทรงให้ข้าราชบริพารติดต่อเพื่อขอซื้อที่ดินเหล่านั้นด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ในราคาที่สูงกว่าธรรมดา เพื่อไม่ให้ราษฎรเดือดร้อน และมีเจ้าของที่ดินได้นำมาขาย รวบรวมได้ทั้งหมดถึง 888 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวา
เมื่อครั้งรัชกาลที่ 6 เสด็จนครปฐมก็มักจะเสด็จไปทอดพระเนตรที่ดินบริเวณ สระน้ำจันทร์หลังองค์พระปฐมเจดีย์บ่อยๆ โดยจมื่นอมรดรุณารักษ์กล่าวว่า ทรงเห็นว่า เป็นชัยภูมิสวยงาม มีหนองน้ำอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเรียกว่า "หนองน้ำจันทร์" ทรงให้ข้าราชบริพารติดต่อเพื่อขอซื้อที่ดินเหล่านั้นด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ในราคาที่สูงกว่าธรรมดา เพื่อไม่ให้ราษฎรเดือดร้อน และมีเจ้าของที่ดินได้นำมาขาย รวบรวมได้ทั้งหมดถึง 888 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวา
ภาพ: พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชวังสนามจันทร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งทางประวัติศาสตร์โดยทรงใช้
เป็นที่ทรงงานและเสด็จออกให้ประชาชนเข้าเฝ้า รวมทั้งเป็นที่ซ้อมรบเสือป่าและ
ฝึกซ้อมละครและยังมีความสำคัญทางด้านศิลปะวัฒนธรรม ดังจะเห็นได้ว่า
พระราชนิพนธ์ที่ทรงคุณค่าหลายเรื่องก็ทรงพระราชนิพนธ์ที่พระราชวังแห่งนี้
นอกจากนี้สิ่งก่อสร้างในพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งประกอบด้วยพระที่นั่ง พระตำหนัก
และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นั้นมีคุณค่าสูงทางสถาปัตยกรรม ซึ่งพระองค์ได้พระราชทาน
นามไว้ได้อย่างไพเราะและคล้องจองกัน
(หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 24-25)
ภาพ: เสือป่า
ที่มา: หอจดหมายเหตุเเห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุเเห่งชาติ
จากการสัมภาษณ์ นายมนัสศัสดิ์ รักอู่ นักวิชาการอิสระ ได้กล่าวว่า บริเวณ
องค์พระปฐมเจดีย์เดิมเป็นที่ตั้งของ “วังปฐมนคร” สร้างขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 4
ต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ 5 ภายหลังรัชกาลที่ 6 ทรงเห็นว่าวังเดิมคับแคบ จึงโปรด
ให้สร้าง “พระราชวังสนามจันทร์” ทางด้านหลังองค์พระปฐมเจดีย์ ภายหลังการ
เสด็จสวรรคต ในพินัยกรรมของพระองค์ได้กำหนดให้พระราชวังสนามจันทร์ตก
เป็นสมบัติของโรงเรียนนายร้อยทหารบก หากโรงเรียนไม่ประสงค์รับไว้ ให้ตกเป็น
ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ สิริโสภาพัณณวดี
ซึ่งประสูติในวันเดียวกับที่พระองค์เสด็จสวรรคต ต่อมาเมื่อไม่มีผู้สืบสิทธิ์
พระราชวังจึงตกเป็นสมบัติของแผ่นดิน และถูกใช้เป็นศาลากลางจังหวัดนครปฐม
รัฐบาลได้ดำเนินการบูรณะและอนุรักษ์ไว้ตามสภาพเดิม ทั้งนี้ รัชกาลที่ 6
ทรงมุ่งพัฒนาประเทศด้านการศึกษาและวัฒนธรรม โดยก่อตั้งโรงเรียน
วชิราวุธวิทยาลัยเพื่อปลูกฝังความรู้และคุณธรรมให้ประชาชน เป็นรากฐานแห่ง
ความเจริญของชาติจนถึงปัจจุบัน
ภาพ: อาคารเสือป่า
ที่มา: หอจดหมายเหตุเเห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุเเห่งชาติ
ภาพ: โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
ที่มา: https://www.blockdit.com/posts/619fa80969a1240f46853e15
ที่มา: https://www.blockdit.com/posts/619fa80969a1240f46853e15
พระราชวังสนามจันทร์
ประกอบด้วยพระที่นั่ง
พระตำหนัก
และสถานที่สำคัญ ดังนี้
พระที่นั่ง
พิมานปฐม
เป็นพระที่นั่งองค์แรกอยู่ทางทิศตะวันตกสร้างเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น
แบบตะวันตก แต่ดัดแปลงให้เหมาะกับเมืองร้อน ช่องระบายลมและระเบียงลูกกรง
โดยรอบฉลุฉลักเป็นลวดลายตามแบบไทยอย่างประณีตงดงามทรงใช้เป็นที่ประทับ
ที่ทรงอักษรเสด็จออกขุนนาง รับแขกบ้านแขกเมืองและให้ราษฎรเข้าเฝ้าพระที่นั่ง
ชั้นบนจะประกอบด้วยห้องต่างๆเช่น ห้องบรรทม ห้องสรงห้องบรรณาคมห้องภูษา
ห้องเสวย และห้องพระเจ้าหรือหอพระ (เป็นที่ประดิษฐานของพระเศวตฉัตร)
ผนังห้องพระเจ้านั้นยังมีภาพเขียน จิตรกรรมฝาผนังฝีมือพระยาอนุศาสน์จิตรกร
(จันทร์ จิตรกร) เขียนภาพ “เทพประนม”
(หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 25)
ภาพ: พระที่นั่งพิมานปฐม
ที่มา: https://www.thai-tour.com/gal/321/72
ที่มา: https://www.thai-tour.com/gal/321/72
ภาพ: พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี
ที่มา: https://sanamchanguide.blogspot.com/2012/02/blog-post_07.html
ที่มา: https://sanamchanguide.blogspot.com/2012/02/blog-post_07.html
พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี
เป็นพระที่นั่งหลังย่อมติดต่อกับพระที่นั่งพิมานปฐมออกไปทางทิศใต้
มีลักษณะ
เป็นตึกสองชั้น ซึ่งเป็นเป็นพระที่นั่งที่สร้างขึ้นในคราวเดียวกัน
กับพระที่นั่งพิมานปฐม
ที่สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2450 เป็นพระที่นั่งก่ออิฐ
ถือปูน 2 ชั้นแบบตะวันตก ดัดแปลงและ
ตกแต่งช่องลมและระเบียง
ลูกกรงด้วยไม้ลายฉลุยแบบไทย มีทางเดินเชื่อมต่อกับ
พระที่นั่ง
พิมานปฐมไปทางทิศใต้ (เว็บไซต์ gplace, 2568)
ภาพ: พระที่นั่งวัชรีรมยา
ที่มา: https://www.gplace.com/1412
ที่มา: https://www.gplace.com/1412
พระที่นั่ง
วัชรีรมยา
เป็นพระที่นั่งฝาแฝดกับพระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ เป็นอาคาร
ทรงไทย 2 ชั้นมีทางเดินเชื่อมกับพระที่นั่งพิมานปฐมหลังคาซ้อน 2 ชั้น
แบบมุงกระเบื้องเคลือบตกแต่งด้วยแบบคันทวย ช่อฟ้า ใบระกา
นาคสะดุ้ง และหางหงส์หน้าบันแกะสลักงดงามทั้งด้านมุขเด็ดเป็น
รูปเข็มวชิราวุธ ทางด้านตะวันออกเป็นรูปช้างเอราวัณ และทางด้าน
ตะวันตกคล้ายกับมุขเด็ดแต่มีขนาดใหญ่กว่าพระทวารและพระบัญชร
ทำเป็นเรือนแก้ว
ประดับยอดวชิราวุธ ภายในเพดานทาสีแดงเข้ม
แกะสลักปิดทองประดับลายดาวและ
ดอกดวง พระที่นั่งนี้ทรงใช้เป็น
ที่บรรทมและทรงพระอักษร รวมถึงใช้เป็นที่ประทับ
เป็นครั้งคราว
หลังเสร็จการซ้อมรบเสือป่า
(หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 26)
พระที่นั่ง
สามัคคีมุขมาตย์
เป็นพระที่นั่งฝาแฝดกับพระที่นั่งวัชรีรมยาโดยมีโถงใหญ่และหลังคา
ของพระที่นั่งทั้งสองเชื่อมติดต่อกัน พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์
เป็นพระที่นั่งทรงไทยแบบศาลาโถงองค์ใหญ่ชั้นเดียว หน้าบันอยู่ทาง
ทิศเหนือ เป็นรูปจำหลักท้าวอมรินทราธิราชประทานพร ประทับอยู่ใน
พิมานปราสาทสามยอด พระหัตถ์ขวาทรงวชิระ(อาวุธพระอินทร์)
พระหัตถ์ซ้ายประทานพร แวดล้อมด้วยบริวาร ประกอบด้วยเทวดา
และมนุษย์ห้าหมู่
ภาพ: พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์
ที่มา: https://url-shortener.me/6R8W
ที่มา: https://url-shortener.me/6R8W
ภาพ : พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์
ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_143980#google_vignette
ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_143980#google_vignette
ท้องพระโรงพระที่นั่ง มีอัฒจันทร์สองข้าง ด้านต่อกับพระที่นั่งวัชรีรมยามีพระทวาร
เปิดถึงกัน 2 ข้างซุ้มพระทวารทั้งสองและซุ้มพระบัญชรใกล้ ๆ พระทวารทั้ง 2 ข้างแกะ
เป็นรูปกรีติสุขลงรักปิดทองภายในพระที่นั่งโดยรอบมีเสานางจรัลแบ่งเขตเป็นท้องพระโรง
กับเฉลียง เสานางจรัลมีลักษณะเป็นเสาแปดเหลี่ยม ทำเป็นลายกลีบบัวจงกล
โดยรอบตลอดทั้งต้น และเพดาน พระที่นั่งทาสีแดงเข้มปิดทองฉลุเป็นลายดาวประดับ
มีโคมหวดห้อยอย่างงดงาม พระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ออกงานสโมสรสันนิบาต เสด็จออกขุนนาง
เพื่อปรึกษาหารือข้าราชการ เป็นที่อบรมกองเสือป่าและใช้เป็นที่แสดงโขนละครต่าง ๆ
เพราะเป็นสถานที่กว้างขวางจุคนได้เยอะมาก ชาวบ้านเลยเรียกกันว่า “โรงโขน”
เดิมโปรดเกล้าให้นำพระมหาเศวตฉัตรมาประดิษฐานไว้ด้วย
(หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 31)
จากการสัมภาษณ์ นายมนัสศัสดิ์ รักอู่ นักวิชาการอิสระ ได้กล่าวว่า เคยมีโอกาส ร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมซึ่งได้จัดการแสดงโขน ณ พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ โรงโขนที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะ ตอน “จองถนน” ตอนหนุมานถมหิน ที่มีการเหยียบพื้นและกระทืบเท้าอย่างหนักหน่วง ทำให้รู้สึกอินไปกับบรรยากาศในท้องพระโรง เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาเกิดความสนใจ ถึงประวัติการสร้างพระราชวังสนามจันทร์ และเริ่มศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง
จากการสัมภาษณ์ นายมนัสศัสดิ์ รักอู่ นักวิชาการอิสระ ได้กล่าวว่า เคยมีโอกาส ร่วมงานมหกรรมวัฒนธรรมซึ่งได้จัดการแสดงโขน ณ พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ โรงโขนที่มีความเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะ ตอน “จองถนน” ตอนหนุมานถมหิน ที่มีการเหยียบพื้นและกระทืบเท้าอย่างหนักหน่วง ทำให้รู้สึกอินไปกับบรรยากาศในท้องพระโรง เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาเกิดความสนใจ ถึงประวัติการสร้างพระราชวังสนามจันทร์ และเริ่มศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง
พระที่นั่ง
ปาฏิหาริย์ทัศไนย
เป็นพระที่นั่งองค์เล็กรัชกาลที่ 6 ให้สร้างขึ้นหลังจากได้ทอดพระเนตรปาฏิหาริย์
แห่งองค์พระปฐมเจดีย์ พ.ศ.2452 ครั้งหนึ่งและใน พ.ศ.2457 อีกครั้งหนึ่ง
พระที่นั่ง
ปาฏิหาริย์ทัศไนย ตั้งอยู่บนชานชาลาชั้นบนระหว่างพระที่นั่งพิมานปฐม
กับพระที่นั่ง
วัชรีรมยา ใช้เป็นที่ประทับและทอดพระเนตรพระปฐมเจดีย์ใน พ.ศ.2470
ในภายหลัง
รัชกาลที่ 6เสด็จสวรรคต แล้วทางกระทรวงวัง ได้ให้รื้อไปปลูกไว้บนชาลาหน้าพระที่นั่ง
พุทไธศวรรย์ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
ภาพ: ปฏิหาริย์ทัศไนย
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ภาพ: พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์
พระตำหนัก
ชาลีมงคลอาสน์
พระตำหนักที่รัชกาลที่ 6 โปรดประทับมากที่สุด เดิมเรียกกันว่า
“พระตำหนักเหล”
ต่อมาพระราชทานชื่อว่า “พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์”
ใน พ.ศ.2458 โดยโปรดให้มี
พระราชพิธีขึ้นพระตำหนักใน พ.ศ.2460
พระตำหนักตั้งอยู่ทิศใต้ของสนามใหญ่
รูปทรงแบบปราสาทเป็น
สถาปัตยกรรมแบบโรแมนติค (ROMANTIC) ในลักษณะ
ผสมผสาน
ระหว่างอิทธิพลของปราสาทเรอเนซองส์ (RENAISSANCE) ของฝรั่งเศส
และอาคารแบบฮาล์ฟทิมเบอร์ (HALF TIMBERED) เป็นรูปแบบของอังกฤษ
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์
เป็นพระตำหนักสองชั้นทาสีไข่ไก่
หลังคามุงกระเบื้องสีแดง ดัดแปลงให้เหมาะสมกับ
ดินฟ้าอากาศของไทย
โดยมีระเบียงโดยรอบทั้งสามด้าน ทางชั้นบนมี 2 ห้อง
เป็นห้องพระบรรทม
และห้องทรงพระอักษร มีเฉลียงรูปครึ่งวงกลมยื่นออกไปจากระเบียง
ของห้องทั้งสอง ชั้นล่างเคยใช้เป็นสำนักงานหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต
ภาพ: อนุสาวรีย์ย่าเหล
ที่มา: Thairath - ไทยรัฐออนไลน์
ที่มา: Thairath - ไทยรัฐออนไลน์
ด้านหน้าพระตำหนักเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ย่าเหล เป็นสุนัขพันทาง
แสนรู้และมีความจงรักภักดีต่อรัชกาลที่ 6 อย่างยิ่งจึงเป็นที่โปรดปรานมาก
เมื่อย่าเหลถูกยิงตายจึงโปรดเกล้าฯให้สร้างอนุสาวรีย์ “ย่าเหล”
ตัวย่าเหลหล่อด้วยโลหะทองแดง ยืนอยู่บนแท่นประดิษฐานหน้า
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ ที่ฐานของอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6
ทรงพระราชนิพนธ์กลอนไว้อาลัยความรู้สึกในพระราชหฤทัยของ
พระองค์ที่ทรงสูญเสียสุนัขตัวโปรดในครั้งนั้น
(หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 32)
พระตำหนัก
มารีราชรัตบัลลังก์
เป็นพระตำหนักไม้ 2 ชั้นทาสีแดง ลักษณะเป็นนีโอคลาสสิก
(NEOCLASSICISM)
ของตะวันตก เสาใช้ไม้กลมและมีการแกะสลัก
ไม้อย่างงดงาม พระตำหนักนี้สร้างขึ้นคู่กับ
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์
โดยมีสะพานเชื่อมพระตำหนักทั้งสองทางด้านชั้นบน
เดิมเป็นที่ประทับ
ของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจีและพระสุจริตสุดาในคราว
ตามเสด็จมาประทับที่พระราชวังสนามจันทร์ ใน พ.ศ.2464 และ พ.ศ.2465
ภาพ: พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์และพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์เป็น
สถาปัตยกรรม
ที่มีภูมิหลังมาจากบทละครเรื่อง My Friend Jarlet
ของ Arnold Golsworthy และ
E.B.Normat ซึ่งรัชกาลที่ 6 โปรดตัวละคร
ในเรื่องนี้เป็นพิเศษมาตั้งแต่ครั้งยังทรงศึกษา
ณ ประเทศอังกฤษ
ต่อมาทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องนี้ขึ้นใหม่เป็นภาษาไทย
คือ
เรื่อง “มิตรแท้”และ “เพื่อนตาย” ความประทับใจในบทบาทของ
ตัวละครเอกในเรื่องที่ชื่อ ยาร์เลต์ (Jarlet) และมารี เลอรูซ์ (Marie Leroux)
ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องนั้น จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจจนทรงนำชื่อ
ตัวละครดังกล่าวมาตั้งเป็นชื่อพระตำหนักทั้งสองได้อย่างไพเราะ
ภาพ: บทละครเรื่อง My Friend Jarlet
ที่มา: https://mystorywalker.blogspot.com/2017/10/my-friend.html
ที่มา: https://mystorywalker.blogspot.com/2017/10/my-friend.html
พระตำหนัก
ทับขวัญ
ภาพ: พระตำหนักทับขวัญ
ที่มา: https://www.muangboranmuseum.com/landmark/the-dvaravati-house%E2%80%A8/
ที่มา: https://www.muangboranmuseum.com/landmark/the-dvaravati-house%E2%80%A8/
เป็นหมู่เรือนไทยชั้นเดียวใต้ถุนสูงประกอบด้วยเรือนใหญ่ 4 หลัง เรือนเล็ก 4 หลัง
มีชานแล่นถึงกันตลอด มีต้นจันทร์ใหญ่ทะลุกลางชานขึ้นมาปกคลุมเพื่อให้ความ
ร่มเย็นโดยเรือนใหญ่ 4 หลัง หันหน้าเข้าหากันจากทิศหลักทั้งสี่ ประกอบด้วย
เรือนโถง
อยู่ทางด้านตะวันตก หอนอนอยู่ทางด้านทิศเหนือและใต้ด้านละ 1 หอ
และเรือนครัวอยู่ทางด้านทิศตะวันออก
เรือนเล็ก 4 หลัง อยู่ระหว่างมุมต่อของเรือนใหญ่ ประกอบด้วยหอนก 2 หอ เรือนเก็บของ 1 หอ และ เรือนคนใช้ 1 หอ ที่พระตำหนักทับขวัญนี้ส่วนบนเรือน สำหรับอยู่อาศัย เป็นเรือนเครื่องสับฝากระดาน แต่เดิมเป็นไม้สักล้วน ทำเป็น ฝาประกนกรอบลูกฟักใช้วิธีเขาไม้ตามแบบฉบับของชาวไทยโบราณ เชิงชายและ ไม้ค้ำยันมีลวดลายสลักเสลาหลังคาแต่เดิมมุงจากตลบหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยน มามุงด้วยกระเบื้องแทน เรือนเครื่องสับนี้กล่าวกันว่าเป็น เรือนก่อสร้างชนิดแบบถอดประกอบเสร็จได้ภายในหนึ่งวัน
ความหมายคำว่า ทับ หมายถึง ที่อยู่ เรือน ขวัญ หมายถึง สิ่งประเสริฐ เจริญ ที่รัก ทับขวัญ จึงหมายความว่า เรือนอันเป็นที่อยู่อันประเสริฐ เรือนอันเป็นที่รัก ที่เจริญ รัชกาลที่ 6 ประทับแรมในวันเฉลิมพระตำหนัก 1 คืน (หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 34-35)
เรือนเล็ก 4 หลัง อยู่ระหว่างมุมต่อของเรือนใหญ่ ประกอบด้วยหอนก 2 หอ เรือนเก็บของ 1 หอ และ เรือนคนใช้ 1 หอ ที่พระตำหนักทับขวัญนี้ส่วนบนเรือน สำหรับอยู่อาศัย เป็นเรือนเครื่องสับฝากระดาน แต่เดิมเป็นไม้สักล้วน ทำเป็น ฝาประกนกรอบลูกฟักใช้วิธีเขาไม้ตามแบบฉบับของชาวไทยโบราณ เชิงชายและ ไม้ค้ำยันมีลวดลายสลักเสลาหลังคาแต่เดิมมุงจากตลบหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยน มามุงด้วยกระเบื้องแทน เรือนเครื่องสับนี้กล่าวกันว่าเป็น เรือนก่อสร้างชนิดแบบถอดประกอบเสร็จได้ภายในหนึ่งวัน
ความหมายคำว่า ทับ หมายถึง ที่อยู่ เรือน ขวัญ หมายถึง สิ่งประเสริฐ เจริญ ที่รัก ทับขวัญ จึงหมายความว่า เรือนอันเป็นที่อยู่อันประเสริฐ เรือนอันเป็นที่รัก ที่เจริญ รัชกาลที่ 6 ประทับแรมในวันเฉลิมพระตำหนัก 1 คืน (หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 34-35)
พระตำหนักทับเจริญ
ภาพ: พระตำหนักทับเจริญ
ที่มา: https://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/2007/11/O6052194/O6052194.html
ที่มา: https://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/2007/11/O6052194/O6052194.html
เป็นบ้านไม้หลังใหญ่ มีสถาปัตยกรรมเรือนไทยแบบฝรั่ง ตัวเรือนและโครง
หลังคาเป็นไม้สัก หลังคาทรงปั้นหยา มุงด้วยกระเบื้องว่าวเป็นเรือนชั้นเดียว
ยกใต้ถุนสูงเดิมเป็นบ้านพักของเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
อธิบดีกรมมหาดเล็กสมัยรัชกาลที่ 7 กำหนดให้ใช้เป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัด
ต่อมาเมื่อใช้เรือนพระนนทิการเป็นที่พักผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว ได้ใช้ทับเจริญเป็น
ที่ทำการสาธารณสุขจังหวัด” (หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 36)
นอกจากนี้ยังมีสิ่งก่อสร้าง
และสถาปัตยกรรมที่สำคัญอื่นๆ
ภายในพระราชวังสนามจันทร์
ดังนี้
พระบรมราชานุสาวรีย์
รัชกาลที่ 6
อนุสาวรีย์รัชกาลท ี่6 ถูกสร้างในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
(รัชกาลที่ 9) พ.ศ. 2526 เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ของพระองค์และเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ที่ทรงก่อตั้งกองเสือป่า
และพระราชทานกำเนิดลูกเสือไทยเพื่อฝึกฝนเยาวชนไทยให้เป็น
พลเมืองดีมีความจงรักภักดีต่อชาติรู้จักการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์
ภาพ: พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6
ที่มา: https://www.dailynews.co.th/news/743823/
ที่มา: https://www.dailynews.co.th/news/743823/
เทวาลัยคเณศร์
ตั้งอยู่ที่สนามหน้าพระที่นั่งพิมานปฐมด้านทิศตะวันออก รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ
ให้เป็นศาลเทพารักษ์สำหรับบวงสรวงบูชา และเพื่อความเป็นศิริมงคลแห่งพระราชวังสนามจันทร์ โปรดเกล้าให้
ประดิษฐานพระคเณศร์หรือพระพิฆเนศวร เทพเจ้าผู้มีเศียรเป็นช้าง ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการประพันธ์และศิลปวิทยาการและเป็นผู้ขจัด
อุปสรรคทั้งมวลเมื่อมองจากพระที่นั่งพิมานปฐมจะเห็นพระปฐมเจดีย์ เทวาลัยคเณศร์ และพระที่นั่งพิมานปฐม อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน
เพราะพระองค์ทรงตั้งพระทัยว่า เมื่อประชาชนมากราบไหว้ จะได้
กราบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์พร้อมๆ กันถึง 2 แห่ง
(หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 31)
ภาพ: เทวาลัยคเณศร์
สระน้ำจันทร์ หรือ สระบัว
ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีชื่อว่าเนินปราสาท เป็นสระน้ำที่ใช้ในพิธีของ
ทางสำนักพระราชวังหรือพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาจะต้องนำน้ำจากสระมาผสมรวมกันชำระพระแสงต้น (อาวุธ) ต่อมา
ตื้นเขินทางจังหวัดจึงทำการขุดลอกปรับปรุงตบแต่งใหม่และ
สงวนรักษาบริเวณสระไว้เป็นโบราณสถานอันสำคัญของจังหวัด
ภาพ: สระน้ำจันทร์
ที่มา: https://www.matichon.co.th/region/news_1386982
ที่มา: https://www.matichon.co.th/region/news_1386982
ศาลาลงสรง
ซึ่งเป็นที่ประทับทรงเครื่องใหญ่ (ตัดผม) ของรัชกาลที่ 6 ต่อมา
ในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้ย้ายไปปลูกที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร
ภาพ: ศาลาลงสรง
ที่มา: https://th.trip.com/moments/detail/bangkok-191-130409183/
ที่มา: https://th.trip.com/moments/detail/bangkok-191-130409183/
โรงละคร
ตั้งอยู่บริเวณข้างพระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการนำฉากซุ้มหน้าโรงและซุ้มประตูมาใช้ในราชการของ
กระทรวงวังที่กรุงเทพฯ ภายหลังได้มีการรื้อโรงละครไปปลูกเป็น
โรงพยาบาลของเรือนจำจังหวัดนครปฐม
(หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 36)
ภาพ: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา: https://www.bbc.com/thai/thailand-50705367
ที่มา: https://www.bbc.com/thai/thailand-50705367
ภาพ : สถานีรถไฟสนามจันทร์
ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
สถานีรถไฟ
สนามจันทร์
เป็นสถานีรถไฟหลวง เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ และ
ทรงใช้สถานีรถไฟหลวงพระราชวังสนามจันทร์นี้ เป็นสถานีสำหรับ
เสด็จโดยรถไฟไปยังที่ต่างๆ อยู่ทางทิศเหนือของพระที่นั่ง
สามัคคีมุขมาตย์ ซึ่งมีถนนจากสะพานจักรียาตราตรงไปยัง
สถานีรถไฟแห่งนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 7 กรมรถไฟหลวงได้รื้อสถานีรถไฟนี้
ไปเก็บไว้เพื่อใช้เป็นประโยชน์ต่อไปซึ่งได้นำไปก่อสร้างไว้ที่
สถานีรถไฟหัวหิน เพื่อให้เป็นสถานีขึ้น-ลงรถไฟ ของรัชกาลที่ 9 ยามที่เสด็จมาประทับที่วังไกลกังวล (สำนักพระราชวัง, หนังสือกรมรถไฟหลวงที่ ก.1/2473
จากผู้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงถึงปลัดทูลฉลองกระทรวงวัง, 12 กันยายน 2473.)
ภาพ : สถานีรถไฟสนามจันทร์
ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
เรือนพระกรรมสักขี หรือ
บ้านโค้งเพชรรัตน์
เรือนไทยไม้สักโบราณ หลังคาทรงจั่วมุงด้วยกระเบื้องดินเผา ยกพื้นสูง มีการแกะสลักไม้และการจัดจังหวะช่องเปิดเพื่อระบาย
อากาศและความร้อน โดยพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
เคยประทับเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ทำให้พื้นที่โดยรอบบริเวณของ
เรือนพระกรรมสักขีหลังนี้ใช้สำหรับการซ้อมบทละครหลวงของ
ฝ่ายใน ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยศิลปากร
(หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 36)
ภาพ : เรือนพระกรรมสักขี
เรือนแพหรือ
พระตำหนักเรือนแพ
เดิมอยู่ที่คลองด้านหลังพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ เมื่อรัชกาลที่ 6 สวรรคตได้มีการย้ายมาปลูกสร้างเป็นศาลาขนาดเล็กในเขต
พุทธาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ ต่อมาได้มีการย้ายไปปลูกเป็นเขต
สังฆาวาสเป็นห้องสมุดของวัด ปัจจุบันได้ย้ายจากบริเวณห้องสมุดเดิม
มาปลูกสร้างเป็นอาคารชั้นบนของห้องสมุด ณ ที่แห่งใหม่ของ
วัดพระปฐมเจดีย์
เก๋งรถไฟ
มีลักษณะเป็นอาคารไม้หลังเล็กกะทัดรัด หลังคามีลักษณะโค้ง
คล้ายหลังคารถไฟรัชกาลที่ 6 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อประทับเมื่อ
เสด็จโดยรถไฟ ปัจจุบันเก๋งรถไฟนี้อยู่ที่วัดเสนหา อำเภอเมืองนครปฐม
จังหวัดนครปฐม โดยทางวัดได้นำไปปลูกเป็นกุฏิของพระสงฆ์ กุฏิดังกล่าวทำเป็นสองชั้น ส่วนที่เป็นเก๋งรถไฟอยู่ชั้นบน
(หนังสือแนะนำจังหวัดนครปฐม, 2539, หน้า 31-32)
ภาพ: พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ในบริเวณพระราชวังสนามจันทร์
ยังมีสะพานที่รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ
พระราชทานชื่อให้คล้องจองกัน
ทั้งหมด 4 สะพาน
ดังนี้
สะพานพระรามประเวศน์
สะพานโยงเชื่อมระหว่างถนนหน้าวัง กับถนนราชดำริห์
เป็นสะพานเหล็กตามแบบตะวันตก
สะพานนเรศวร์จรลี
เป็นสะพานคอนกรีตเชื่อมต่อระหว่างถนนหน้าวัง
กับถนนพระราชดำเนิน
สะพานจักรียาตรา
สะพานโยงทางทิศเหนือเชื่อมต่อระหว่างถนนเหนือวังกับ
ถนนหน้าพระลานซ้ายอยู่ใกล้พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์
และสถานีรถไฟสนามจันทร์
สะพานสุนทรถวาย
เป็นสะพานคอนกรีต อยู่ระหว่างพระตำหนักทับแก้ว
กับพระตำหนักทับขวัญ
(หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์, 2539, หน้า 36)
นับตั้งแต่ปี 2450
ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระราชวังสนามจันทร์
ได้ปรากฏหลักฐานการบูรณะพระที่นั่งและพระตำหนักต่างๆที่ผ่านมา
ดังนี้
พ.ศ. 2479
จังหวัดนครปฐมได้ขอพระตำหนักทับขวัญเป็นสิทธิเพื่อจะ
ดำเนินการบูรณะแต่คณะกรรมการวังลงมติว่ายังไม่เห็นควรบูรณะ เพราะว่าเรือนทับขวัญนี้ยังมีความคงทนถาวรอยู่ ปัจจุบันพระตำหนัก
ทับขวัญได้รับการบูรณะให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่งโดย
กรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของ
โครงการสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี ของจังหวัดนครปฐม และมหาวิทยาลัยศิลปากรจะใช้พระตำหนักทับขวัญแห่งนี้เป็น
สถาบันศึกษาและวิจัยทางศิลปวัฒนธรรมภาคตะวันตกของประเทศไทย และเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปวัฒนธรรมรวบรวมศิลปวัตถุและโบราณวัตถุสมัยทวาราวดี
ของมหาวิทยาลัยเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนในการศึกษา
ค้นคว้าต่อไป
ภาพ: พระตำหนักทับขวัญ
ที่มา: https://bansongthaistyle.blogspot.com/p/blog-page_19.html
ที่มา: https://bansongthaistyle.blogspot.com/p/blog-page_19.html
พ.ศ. 2529
ที่ทำการสาธารณสุขจังหวัดย้ายออกไป ทับเจริญอยู่ในสภาพทรุดโทรม มหาวิทยาลัยศิลปากรได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแล มหาวิทยาลัยจึง
พยายามหาเงินมาบูรณะและบูรณะสำเร็จในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 ต่อจากนั้นมหาวิทยาลัยได้ใช้ทับเจริญเป็นที่ตั้ง
ของสถาบันวัฒนธรรมภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาเสด็จฯ มาทรงเปิดสถาบันแห่งนี้ ในวันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ.2533
ภาพ: สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี
ที่มา: https://sci.rmutr.ac.th/?p=5867
ที่มา: https://sci.rmutr.ac.th/?p=5867
พ.ศ. 2531
เริ่มดำเนินการบูรณะซ่อมแซมในสมัยนายสุกิจ จุลละนันทน์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เพื่อเป็นการอนุรักษ์
โบราณสถานที่พระราชวังสนามจันทร์ เพื่อประโยชน์แก่เยาวชนรุ่นหลัง
จะได้ศึกษาค้นคว้าศิลปวัฒนธรรมของชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ของจังหวัด จึงได้มีการบูรณะซ่อมแซมพระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ พระที่นั่งวัชรีรมยา และพระที่นั่งพิมานปฐม พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์
ชำรุดทรุดโทรมมากได้มีการบูรณะใหม่และประกอบพิธีสมโภชโดย
เชิญเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์ประธานและทรงเปิดพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักนี้ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2534
ภาพ: พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์
พ.ศ. 2535
มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้สำรวจความทรุดโทรมของพระตำหนัก
ชาลีมงคลอาสน์ซึ่งพบว่าความชำรุดเสียหายส่วนใหญ่มีสาเหตุจาก
ความชื้นจากน้ำฝน และมีความชำรุดของฉนวนสะพานเชื่อม
พระตำหนักเกิดจากการทรุดตัวของเสารับสะพานทำให้หลังคาทรุดแอ่นตัว
โดยคณะกรรมการอำนวยการบูรณะพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งมีสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
เป็นองค์ประธาน ได้ดำเนินการหาทุนและมอบหมายให้มหาวิทยาลัย
ศิลปากรดูแล และดำเนินการบูรณะพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ และฉนวนสะพานเชื่อม
(หนังสือแนะนำจังหวัดนครปฐม, 2539, หน้า 37-42)
ภาพ: ป้ายมหาวิทยาลัยศิลปากร
ที่มา: https://www.dek-d.com/board/entertainment/3345165/
ที่มา: https://www.dek-d.com/board/entertainment/3345165/
แต่เดิมพระราชวังสนามจันทร์อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักพระราชวัง
โดยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2546 คณะกรรมการอำนวยการบูรณะ
พระราชวังสนามจันทร์ มีสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา
สิริโสภาพัณณวดีเป็นองค์ประธาน
ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย นายนาวิน
ขันธงหิรัญเป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม
และมหาวิทยาลัย
ศิลปากร โดยรองศาสตราจารย์ลิขิต กาญจนาภรณ์ รองอธิการบดี
มหาวิทยาลัยศิลปากรวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ในขณะนั้น
ได้น้อมเกล้าฯ
ถวายคืนพระราชวังสนามจันทร์แก่สำนักพระราชวัง
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้พระราชทานโฉนดที่ดินพระราชวังสนามจันทร์ แก่กระทรวงมหาดไทยแล้ว ทางจังหวัดนครปฐมรับมอบต่อจาก กระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เพื่อนำมาดำเนิน การรับผิดชอบเอง (เว็บไซต์องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม, 2567)
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯให้พระราชทานโฉนดที่ดินพระราชวังสนามจันทร์ แก่กระทรวงมหาดไทยแล้ว ทางจังหวัดนครปฐมรับมอบต่อจาก กระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เพื่อนำมาดำเนิน การรับผิดชอบเอง (เว็บไซต์องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม, 2567)
วิดีโอ | พระราชวังสนามจันทร์
แหล่งอ้างอิง
นวลผจง เศวตเวช. (2539). หนังสือสัญจรนครประวัติศาสตร์: หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ (น. 23–36).
หนังสือแนะนำจังหวัดนครปฐม (น. 24–42). (2539). นครปฐม: หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.
พระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม. (2568).
เข้าถึงจาก https://www.gplace.com/6963
วินิจฉัยกุล, ส. (ม.ป.ป.). บ้านเก่านอกกรุง. หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์.
เข้าถึงจาก http://www.snc.lib.su.ac.th/libmedia/west/e-clip/560883.pdf
สำนักพระราชวัง. (2473, กันยายน 12). หนังสือกรมรถไฟหลวงที่ ก.1/2473 จากผู้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงถึงปลัดทูลฉลองกระทรวงวัง.
องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม. (2567). พระราชวังสนามจันทร์.
เข้าถึงจาก https://www.nkppao.go.th/content-18-9663.html
กรมศิลปากร. (2542). การย้ายและบูรณะเรือนพระกรรมสักขี. กรุงเทพฯ: สำนักสถาปัตยกรรม.
ความเป็นมา
และความสำคัญ
พุทธมณฑล หมายถึง “เขตแดนที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา” จึงถือเป็น
สถานที่สำคัญทางศาสนาของไทย เป็นพุทธานุสรณียสถาน หรือสถานที่ที่เกี่ยวกับ
การสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่รัฐบาลและประชาชนร่วมกันจัดสร้าง เพื่อเป็น
ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาและสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาของชาวพุทธใน
ประเทศไทย โดยพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก(ผู้อุปถัมภ์ สนับสนุน คุ้มครอง ศาสนาในระดับสูงสุด)
ปกครองบ้านเมืองตามหลักทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตร(หลักธรรม 10 ประการ
และหลักปฏิบัติ 12 ประการที่พระมหากษัตริย์พึงประพฤติ)และทรงอุปถัมภ์บำรุง
พระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ภาพ: พระศรีศากยะทศพลญาณ
ที่มา: Canva
ที่มา: Canva
แนวคิดการสร้าง “พุทธบุรีมณฑล” เริ่มขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
รัฐบาลไทยในสมัยนั้นตั้งใจสร้างเขตพุทธสถานที่จังหวัดสระบุรี เพื่อใช้เป็น
เขตปลอดทหาร ป้องกันไม่ให้ข้าศึกใช้ประโยชน์ทางการทหาร และหวังให้
ฝ่ายสัมพันธมิตรหลีกเลี่ยงการโจมตีในพื้นที่ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม โครงการนี้
ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและถูกยกเลิกในเวลาต่อมาเมื่อจอมพล
ป.พิบูลสงครามกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. 2495 จึงสานต่อแนวคิดนี้
อีกครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างพุทธานุสรณียสถานเพื่อเฉลิมฉลอง
25 พุทธศตวรรษ (พ.ศ. 2500) และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทาง
พระพุทธศาสนา
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร
(รัชการที่ 9) เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีก่อฤกษ์ ณ พื้นที่ก่อสร้างในอำเภอ
นครชัยศรี (ต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอพุทธมณฑล) จังหวัดนครปฐม การก่อสร้าง
เริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2500 โดยอยู่ในความรับผิดชอบ ของกระทรวงมหาดไทย
แม้จะมีการชะลอการก่อสร้างในบางช่วงเนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณ
(หนังสือนครปฐม ประวัติและวัฒนธรรมท้องถิ่น, หน้า 114-115)
ภาพ: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ที่มา: https://mgronline.com/celebonline/detail/9620000115963#google_vignette
ที่มา: https://mgronline.com/celebonline/detail/9620000115963#google_vignette
จากการสัมภาษณ์ อาจารย์สัญญา สุดล้ำเลิศ กล่าวว่า เดิมทีพื้นที่พุทธมณฑล
ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของตำบลบางกระทึก จังหวัดนครปฐมในช่วงเริ่มต้น
ของโครงการ ได้มีการจัดสรรพื้นที่ใหม่ โดยให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในตำบลบางกระทึก
เดิมย้ายถิ่นฐานไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ตำบลไร่ใหม่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเปิดพื้นที่
บริเวณนี้ให้สามารถพัฒนาเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาได้อย่างสมบูรณ์
ภายในเขตพุทธมณฑลมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ด้วยใบเสมาจำนวนแปดทิศ และขุดบ่อน้ำล้อมรอบตามแบบแผนของคติทางพุทธศาสนา เพื่อสื่อถึงความเป็น ศูนย์กลางแห่งธรรมะ นอกจากนี้พื้นที่จังหวัดนครปฐมเองถือว่าเป็นพื้นที่เกิดใหม่ ตามธรรมชาติ เดิมเคยเป็นทะเลมาก่อน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง เหมาะแก่การเพาะปลูก และเป็นพื้นที่ที่พืชพันธุ์สามารถเจริญงอกงามได้ดี
ภายในเขตพุทธมณฑลมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ด้วยใบเสมาจำนวนแปดทิศ และขุดบ่อน้ำล้อมรอบตามแบบแผนของคติทางพุทธศาสนา เพื่อสื่อถึงความเป็น ศูนย์กลางแห่งธรรมะ นอกจากนี้พื้นที่จังหวัดนครปฐมเองถือว่าเป็นพื้นที่เกิดใหม่ ตามธรรมชาติ เดิมเคยเป็นทะเลมาก่อน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง เหมาะแก่การเพาะปลูก และเป็นพื้นที่ที่พืชพันธุ์สามารถเจริญงอกงามได้ดี
ภาพ: พระศรีศากยะทศพลญาณ
การวางผัง
พุทธมณฑล
คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติอนุมัติเมื่อ พ.ศ. 2497 ให้จัดสร้างพุทธมณฑลขึ้น
โดยเลือกเอาพื้นที่ส่วนหนึ่งของอำเภอนครชัยศรีและอำเภอสามพรานในขณะนั้น
รวมจำนวน 2,500 ไร่ เป็นที่ตั้ง พร้อมทั้งเตรียมปรับพื้นที่ต่อเนื่องมาเป็นลำดับ
จนกระทั่งรัชกาลที่ 9 เสด็จประกอบรัฐพิธีก่อพระฤกษ์ ณ พุทธมณฑล จากนั้น
การก่อสร้างพุทธมณฑลก็ดำเนินการสืบเนื่องต่อมา มีการสร้างวิหารประดิษฐาน
พระพุทธรูป ขึ้นก่อนและดำเนินการปลูกสร้างสิ่งอื่นๆ ตามงบประมาณที่ได้รับ
มาในแต่ละปี ขณะเดียวกันก็เปิดให้ผู้คนเข้าเยี่ยมชมได้ด้วย การดำเนินการสร้าง
เป็นไปอย่างต่อเนื่องจากสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม จนถึงรัฐบาล
พลเอกเปรม ติณสุลานนท์ โดยพุทธมณฑลเริ่มมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
สวยงามมากขึ้น มีอาคารสถานที่ต่างๆ พร้อมเพรียงสืบมาจนปัจจุบัน
(หนังสือพุทธมณฑลวัฒนา, 2557 หน้า 18)
บทบาทการเผยแพร่
พระพุทธศาสนา
พุทธมณฑลยังมีบทบาทสำคัญในการเปนศูนยรวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน
ชาวไทย
สรางความสงบรมรื่น ใหแกผูมาเยือน และเปนสถานที่พักผอนหยอนใจ
ในบรรยากาศ
ที่เกื้อกูลตอการทำความดี รวมถึงเปนแหลงศึกษา และปฏิบัติ
วิปสสนากัมมัฏฐาน
เพื่อพัฒนาจิตใจและปญญาของผูสนใจการปฏิบัติธรรม
ในดานการบริหารงาน
พุทธมณฑลถูกกำหนดใหเปนสำนักงานกลางของ
การบริหารงานคณะสงฆ
แหงประเทศไทยอีกทั้งยังทำหนาที่เปนศูนยกลาง
การเผยแพรพระพุทธศาสนา
ไปสูสังคมวงกวางและเปดโอกาสใหพุทธศาสนิกชน
ไดแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ดานธรรมะรวมกัน ดังนั้น พุทธมณฑลจึงไมใช
เพียงสถานที่ทางศาสนา แตยังเปน
ศูนยรวมของการศึกษา การปฏิบัติธรรม
การเผยแผ และการเชื่อมโยงจิตใจ
ของผูคนใหมารวมกันภายใตรมเงา
แหงพระพุทธศาสนาอยางแทจริง
ภาพ: ธรรมจักร
ภาพ: งานวันมาฆบูชาที่พุทธมณฑล
ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1214593
ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1214593
พิธีในวันสำคัญ
ทางพระพุทธศาสนา
พุทธมณฑลแหงนี้ มักจะไวใชจัดกิจกรรมตาง ๆ ใน ทางพระพุทธศาสนา
และวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อยางเชน วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา
วันอาสาฬหบูชา วันขึ้นปใหม วันสงกรานต วันลอยกระทง กิจกรรมเลี้ยง
พระเพลถวายสังฆทาน เป็นต้น
สถานที่สำคัญพระประธาน
“พระศรีศากยะทศพลญาณ”
พระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑลแห่งนี้ ได้รับพระราชทานนามจาก
รัชกาลที่ 9
ว่า “พระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์”
พระนามนี้มีความหมายว่า
“พระพุทธเจ้าผู้ทรงมีญาณ 10 ประการ (ทศพลญาณ)
อันเป็นใหญ่ในหมู่พระศากยวงศ์
และเป็นพระประธานแห่งพุทธมณฑลอันงดงาม”
ซึ่งสร้างขึ้นบริเวณใจกลางพุทธมณฑล
โดยมีต้นแบบจากศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
ซึ่งออกแบบไว้ที่ความสูง 2.14 เมตร
แต่ภายหลังมีความต้องการให้มีความหมาย
เป็นที่ประจักษ์ จึงออกแบบให้มีความสูง
ที่ 15.875 เมตร ตัวองค์พระมีโลหะสำริด
เป็นส่วนประกอบสำคัญ 137 ชิ้น เริ่มสร้างขึ้น
เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2523
และแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2525 ในการจัดสร้างได้แบ่งตัวองค์
พระพุทธรูปออกเป็น
6 ส่วนคือ ส่วนพระเศียร (ศีรษะ) ส่วนพระอุระ (อก)
ส่วนพระพาหา (แขน)
ข้างซ้าย พระนาภี (ท้องถึงสะดือ) ส่วนพระพาหา (แขน)
ข้างขวา พระเพลา (ขา)
ส่วนพระบาท (เท้า) และส่วนฐานบัวรองพระบาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จทรงเททองพระเกตุมาลา และได้ประกอบพิธีเชื่อมประกอบพระเศียรกับองค์พระพุทธรูป และเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2525 รัชกาลที่ 9 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จประกอบพิธี สมโภชพระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ และทรงเปิด พุทธมณฑลให้ประชาชนได้เข้านมัสการพระพุทธรูปและใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ ของการสร้าง จึงเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อปวงชนชาวไทยและชาวพุทธ อย่างแท้จริง (เว็บไซต์ rama.mahidol, ม.ม.ป)
ต่อมาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จทรงเททองพระเกตุมาลา และได้ประกอบพิธีเชื่อมประกอบพระเศียรกับองค์พระพุทธรูป และเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2525 รัชกาลที่ 9 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จประกอบพิธี สมโภชพระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ และทรงเปิด พุทธมณฑลให้ประชาชนได้เข้านมัสการพระพุทธรูปและใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ ของการสร้าง จึงเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อปวงชนชาวไทยและชาวพุทธ อย่างแท้จริง (เว็บไซต์ rama.mahidol, ม.ม.ป)
ภาพ: พระศรีศากยะทศพลญาณ
ที่มา: Canva
ที่มา: Canva
นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์
ของพระพุทธศาสนา
ภายในพุทธมณฑล ดังนี้
พระไตรปิฎกหินอ่อน
มหาวิหารแหงนี้ตั้งอยูบนเกาะกลางน้ำ อยูดานหลังองคพระประธานพุทธมณฑล
เปนอาคารคอนกรีตเสริม เหล็ก สถาปตยกรรมไทย ลักษณะเปนรูปทรงจัตุรมุข 4 ทิศ
มีเจดียใหญอยูตรงกลาง รายลอมดวยพระเจดีย 9 ยอด แตละองคประดิษฐาน
พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระธาตุพระสิวลี
และ
พระผงวัดปากน้ำ ภายในอาคารเปนสถานที่ประดิษฐานพระไตรปฎกหินออน
จำนวน 1,418 แผน หรือ 84,000 พระธรรมขันธ จัดสรางในสมัยรัชกาลที่ 9
(เว็บไซต์ oer.learn.in.th, 2560)
ภาพ: พระไตรปิฎกหินอ่อน
ภาพ: พระวิหารประดิษฐานพระไตรปฎกหินออน
สังเวชนีสถานจำลอง
เป็นสถานที่จำลองของสังเวชนียสถาน 4 ตำบล คือ ตำบลอันเปนที่ประสูติ ตรัสรู้
แสดงปฐมเทศนา และ เสด็จดับขันธปรินิพพาน นอกจากนี้ยังมีศาสนสถานที่สำคัญอื่น ๆ
ไดแก พระวิหารพุทธมณฑล ตำหนักสมเด็จ พระสังฆราช และที่พำนักสงฆอาคันตุกะ
หอประชุมทางกิจการพระพุทธศาสนา ศาลาปฏิบัติกรรมฐาน พิพิธภัณฑ
ทางพุทธศาสนา
หอสมุดพระพุทธศาสนา สวนไมดอกไมประดับตาง ๆ
และในปจจุบัน ใชเปนสถานที่
ประกอบพิธีใน วันสำคัญทางศาสนา (Facebook : คลังประวัติศาสตร์ไทย , 2568)
บริเวณโดยรอบ
พุทธมณฑล
บรรยายกาศยามเย็น
ของสวนพุทธมณฑล ถ. พุทธมณฑลสาย 4 ตำบล ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล
จ.นครปฐมค่อนข้างเย็นสบาย ที่ในช่วงเวลาประมาณสี่โมงเย็นผู้คนเริ่มเดินทางมา
เพื่อเดินและวิ่งออกกำลัง พักผ่อน จะปฏิบัติธรรม หรือทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว
บริเวณ หน้าองค์ "พระศรีศากยะทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์"
พระพุทธรูปยืนปางลีลาขนาดใหญ่
สวนพุทธมณฑล เป็นพื้นที่สีเขียว จำนวน 2,500 ไร่ ที่เปรียบเสมือนปอดของคนใน จังหวัดนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นที่เข้ามาเยี่ยมชม ความงดงาม และเป็นสถานที่สำคัญที่ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ แต่ยังเป็นพื้นที่สาธารณะที่มีคุณค่าต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน เปิดบริการทุกวัน ปิดเวลา 18.00 น. (Facebook : คลังประวัติศาสตร์ไทย , 2568)
สวนพุทธมณฑล เป็นพื้นที่สีเขียว จำนวน 2,500 ไร่ ที่เปรียบเสมือนปอดของคนใน จังหวัดนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นที่เข้ามาเยี่ยมชม ความงดงาม และเป็นสถานที่สำคัญที่ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ แต่ยังเป็นพื้นที่สาธารณะที่มีคุณค่าต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน เปิดบริการทุกวัน ปิดเวลา 18.00 น. (Facebook : คลังประวัติศาสตร์ไทย , 2568)
ภาพ: บริเวณโดยรอบพุทธมณฑล
ที่มา: Canva
ที่มา: Canva
วิดีโอ | พุทธมณฑลคู่ธานี
แหล่งอ้างอิง
Mono News. (n.d.). ข่าวโมโน [Facebook page].
สืบค้นจาก
https://www.facebook.com/MonoNews
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (n.d.). แหล่งเรียนรู้ OER.
สืบค้นจาก
https://oer.learn.in.th/d/70390
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. (n.d.).
สืบค้นจาก
https://www.rama.mahidol.ac.th
หนังสือพุทธมณฑลวัฒนา. (2557). หน้า 18.
หนังสือนครปฐม: ประวัติและวัฒนธรรมท้องถิ่น. (n.d.). หน้า 114–115.
คลังประวัติศาสตร์ไทย. (n.d.). [Facebook page].
สืบค้นจาก
https://www.facebook.com
ประวัติขององค์
พระปฐมเจดีย์
องค์พระปฐมเจดีย์เป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดนครปฐมและยังเป็นโบราณสถาน
ที่สะท้อนรากฐานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ จากหลักฐานประวัติศาสตร์
และโบราณคดี เมืองนครปฐมโบราณนับเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของกลุ่มเมืองทวารวดี
ด้านตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาคในลุ่มแม่น้ำท่าจีน
และแม่กลอง ที่ก่อตัวขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12 จากฐานะการเป็นเมืองท่าดังกล่าว
น่าจะส่งผลให้เกิดการรับวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาปรับใช้ในบ้านเมืองดังกรณีคติ
ความเชื่อทางศาสนาซึ่งพบว่าพุทธศาสนาเป็นวัฒนธรรมจากภายนอกที่มีบทบาท
ต่อสังคมจนอาจกล่าวได้ว่าเมืองนครปฐมโบราณเป็นเมืองที่เจริญขึ้นภายใต้
อิทธิพลวัฒนธรรมพุทธศาสนา
ภาพ: แผนผังบริเวรองค์พระปฐมเจดีย์
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งขาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งขาติ
การพบร่องรอยของศาสนสถานโดยรอบตัวเมืองนครปฐมโบราณ คือ วัดพระปฐมเจดีย์
วัดพระงาม วัดพระเมรุ และเนินพระดอนยายหอม ได้สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายตัว
ของชุมชนรอบตัวเมือง โดยมีศาสนาสถานเป็นศูนย์กลางความศรัทธาของผู้คน อย่างไรก็ตาม
ภายหลังพุทธศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมาบริเวณเมืองนครปฐมโบราณน่าจะมีความสำคัญน้อยลง
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ส่งผลให้ศาสนสถานต่าง ๆ ในเมืองนครปฐม
ทรุดโทรมพังทลายไปตามกาลเวลา ยังคงมีบทบาทในฐานะศาสนสถานอันเป็นที่เคารพบูชา
และจาริกแสวงบุญมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ พระปฐมเจดีย์ (องค์เดิม)
ดังที่ปรากฏในจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ หรือจารึกวัดศรีชุม ได้กล่าวถึงประวัติของ พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี ซึ่งได้ออกผนวชแล้วเดินทางจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ มีความตอนหนึ่งกล่าวว่า
ดังที่ปรากฏในจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ หรือจารึกวัดศรีชุม ได้กล่าวถึงประวัติของ พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี ซึ่งได้ออกผนวชแล้วเดินทางจาริกไปยังสถานที่ต่างๆ มีความตอนหนึ่งกล่าวว่า
ภาพ: ยอดสถูปศิลา
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
"...พระศรีราชจุฬามุนีเป็นเจ้าพยายามให้แผ้วแล้วจึงก่ออิฐขึ้นเจ็ดวาสทายปูน
แล้วบริบวรณพระธาตุหลวงก่อใหม่ด้วยสูงได้ร้อยสองวาขอมเรียกพระธมนั้นแล
สถิตครึ่งกลางนครพระกฤษณ์..."
นักวิชาการเสนอว่านครพระกฤษณ์ที่พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี แวะนมัสการพระธาตุใหญ่และทำการบูรณปฏิสังขรณ์นั้นอาจเป็นเมืองพระประโทณ กล่าวได้ว่าหากพระธมในจารึกคือพระปฐมเจดีย์แล้ว นครพระกฤษณ์ ก็คงหมายถึง เมืองนครไชยศรีหรือเมืองนครปฐมโบราณ ดังนั้นการที่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของ กรุงสุโขทัยทรงแวะนมัสการพระปฐมเจดีย์ย่อมแสดงให้เห็น ถึงความสำคัญ ของศาสนสถานแห่งนี้ และน่าจะเป็นที่รู้จักเคารพสักการบูชามาช้านาน
นักวิชาการเสนอว่านครพระกฤษณ์ที่พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี แวะนมัสการพระธาตุใหญ่และทำการบูรณปฏิสังขรณ์นั้นอาจเป็นเมืองพระประโทณ กล่าวได้ว่าหากพระธมในจารึกคือพระปฐมเจดีย์แล้ว นครพระกฤษณ์ ก็คงหมายถึง เมืองนครไชยศรีหรือเมืองนครปฐมโบราณ ดังนั้นการที่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของ กรุงสุโขทัยทรงแวะนมัสการพระปฐมเจดีย์ย่อมแสดงให้เห็น ถึงความสำคัญ ของศาสนสถานแห่งนี้ และน่าจะเป็นที่รู้จักเคารพสักการบูชามาช้านาน
ภาพ: องค์พระปฐมเจดีย์
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ครั้นถึงสมัยอยุธยาสันนิษฐานว่าเมืองนครชัยศรีสมัยอยุธยาไม่ได้ตั้งอยู่
ที่พระประโทณเจดีย์หากแต่ย้ายมาอยู่ที่บ้านท่านาในเขตอำเภอนครชัยศรี
ปัจจุบัน ภายใต้บริบทการย้ายศูนย์กลางการปกครองเมืองนครไชยศรี
น่าจะส่งผลให้เมืองนครชัยศรีเดิมที่อยู่ลึกเข้าไปทางตะวันตกยิ่งหมดความสำคัญ
มากขึ้น โดยเฉพาะทางการเมืองและการค้า ได้พบจิตรกรรมในสมุดภาพไตรภูมิ
ฉบับกรุงศรีอยุธยา เลขที่6 และ 8 ซึ่งเขียนเป็นภาพพระปฐม (ปทม) และพระประโทณ
(ปโทน) ตั้งอยู่เคียงคู่กันบริเวณเมือง"นคอรไชศรี" หรือ"ณครใชศี" โดยเขียน
เป็นเจดีย์ทรงปรางค์ทั้งคู่ มีตัวอักษรกำกับไว้ที่ด้านล่างว่า ...ปโทนเมื่อสางสาศนา
ได้ 1199 ปี...ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเมืองนครชัยศรีและสถูปสำคัญของเมือง
ยังเป็นที่รู้จักกันอยู่ในสมัยอยุธยา โดยอาจมีการเดินทางเพื่อไปนมัสการศาสนสถาน
แห่งนี้อยู่เสมอจึงปรากฏการก่อสร้างเจดีย์ทรงปรางค์ช้อนทับอยู่บนพระเจดีย์องค์
เดิมอาจกล่าวได้ว่าภาพจำของเมืองนครปฐมโบราณในมโนทัศน์ของผู้คนนับตั้งแต่
สมัยอยุธยาเป็นอย่างน้อยมีนัยของการเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ประดิษฐาน
พระสถูปสำคัญในพุทธศาสนา ที่ควรแก่การเดินทางไปสักการบูชาโดยความคิด
เช่นนี้ได้สืบทอดต่อมาถึงในสมัยรัตนโกสินทร์
ดังปรากฏหลักฐานชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์จากวรรณกรรมนิราศที่ กล่าวถึงการเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ของกรมหลวงวงษาธิราชสนิท เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นวงษาธิราชสนิท ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2377 พรรณนาถึงนางอันเป็นที่รักตามขนบวรรณกรรมนิราศ และกล่าวถึงการเดินทางไปนมัสการพระประธมหรือพระปฐมเจดีย์ (องค์เดิม)
ดังปรากฏหลักฐานชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์จากวรรณกรรมนิราศที่ กล่าวถึงการเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ของกรมหลวงวงษาธิราชสนิท เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นวงษาธิราชสนิท ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2377 พรรณนาถึงนางอันเป็นที่รักตามขนบวรรณกรรมนิราศ และกล่าวถึงการเดินทางไปนมัสการพระประธมหรือพระปฐมเจดีย์ (องค์เดิม)
ภาพ: องค์พระปฐมเจดีย์
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
เมืองนครปฐมโบราณยังคงมีบทบาทในฐานะพื้นที่สำหรับเดินทางมา
จาริกแสวงบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่องค์พระปฐมเจดีย์พบว่ามีการสร้าง
อาคารต่าง ๆ เพิ่มเติมมาหลายสมัยกระทั่งก่อตั้งเป็นวัดในช่วงเวลาต่อมา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ครั้งยังทรงผนวชเป็น
พระวชิรญาณภิกขุได้เสด็จธุดงค์มาทรงนมัสการพระปฐมเจดีย์มีพระราชดำริ
ว่าพระเจดีย์องค์นี้น่าจะมีความสำคัญไม่ควรที่จะทิ้งให้รกร้างอยู่กลางป่า
ครั้งเมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะ
ปฏิสังขรณ์พระสถูปแห่งนี้ โดยสร้างพระเจดีย์ครอบทับสถูปองค์เดิมอันเป็น
ที่เคารพสักการะมาแต่โบราณ เรียกพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่นี้ว่า "พระปฐมเจดีย์"
ด้วยพระราชดำริว่าเป็นพระเจดีย์แห่งแรกของประเทศไทย
(หนังสือปกิณกศิลปวัฒนธรรม เล่มที่ 26 จังหวัดนครปฐม หน้า 64-65)
ภาพ: หลวงปู่ทวดเยียบน้ำทะเลจืด ( สมเด็จเจ้าพระโคะ )
การก่อสร้าง
องค์พระปฐมเจดีย์
การก่อสร้างองค์พระปฐมเจดีย์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 4)เป็นผลให้เมืองนครปฐมพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว รัชกาลที่ 4ให้สร้าง
องค์พระปฐมเจดีย์ ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2396 โดยสร้างครอบเจดีย์องค์เดิมไว้แล้ว
เสร็จในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ดำเนินการ
ก่อสร้างองค์พระปฐมเจดีย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 4)
โปรดให้สร้างวังปฐมนคร ทางทิศตะวันออกใกล้กับองค์พระปฐมเจดีย์เป็นที่ประทับ
เวลาเสด็จมานมัสการ
องค์พระปฐมเจดีย์
ภาพ: องค์พระปฐมเจดีย์
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดให้ขุดคลองเจดีย์บูชา
ขึ้นในระยะเวลาใกล้ ๆ กับการสร้างองค์พระปฐมเจดีย์ระยะทางจากแม่น้ำท่าจีน
ไปจนถึงองค์พระปฐมเจดีย์ จุดประสงค์เพื่อขนส่งอุปกรณ์ในการก่อสร้างองค์พระปฐมเจดีย์
และเป็นเส้นทางสัญจร นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดพื้นที่ทำนาบริเวณสองข้างคลอง
ด้วยคลองอีกสายหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 4) โปรดให้
ขุดขึ้นคือ คลองมหาสวัสดิ์ คลองสายนี้ขุดใน พ.ศ. 2403 ชุดตั้งแต่วัดชัยพฤกษ์มาลาไป
ออกแม่น้ำท่าจีนที่บ้านงิ้วราย ดังนั้นคลองมหาสวัสดิ์กับคลองเจดีย์บูชาจึงเป็น
เส้นทางคมนาคมระหว่างกรุงเทพฯ กับเมืองนครปฐม โดยมีแม่น้ำท่าจีนเป็น
ตัวเชื่อมคลองมหาสวัสดิ์นอกจากจะเป็นเส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปนครปฐมแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 4) มีพระราชประสงค์พระราชทาน
ที่ดินข้างคลองแก่ พระราชโอรส พระราชธิดา เนื้อที่ริมคลองสองสายสามารถบุกเบิก
ที่นาได้จำนวนมาก โดยคลองเจดีย์บูชาขยายที่นาได้ 26,940 ไร่
ส่วนคลองมหาสวัสดิ์
ขยายที่นาได้ 21,882 ไร่
ภาพ: พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
การบูรณะ
องค์พระปฐมเจดีย์
การก่อสร้างองค์พระปฐมเจดีย์เมื่อ พ.ศ. 2396 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นผลให้เมืองนครปฐมพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยโปรดสร้างครอบเจดีย์องค์เดิมไว้การก่อสร้างแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ขณะที่ดำเนินการก่อสร้างองค์พระปฐมเจดีย์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ โปรดให้สร้างวังปฐมนครทางทิศตะวันออกใกล้
กับองค์พระปฐมเจดีย์เป็นที่ประทับเวลา
เสด็จมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์
(หนังสือปกิณกศิลปวัฒนธรรม เล่มที่ 26 จังหวัดนครปฐม หน้า 64-65)
ภาพ: การบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์ อาจารย์มนัสศักดิ์ รักอู่ นักวิชาการอิสระ
ได้กล่าวว่าองค์พระปฐมเจดีย์มีการสร้างและบูรณะซ้อนทับกันอย่างน้อย 4 สมัย
สะท้อนถึงความศรัทธาและความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในแต่ละยุค เริ่มจาก
สมัยทวารวดี ซึ่งเป็นองค์ดั้งเดิม มีฐานทรงกลมตามแบบศิลปะทวารวดี ต่อมาใน
สมัยสุโขทัย พระมหาเถรศรีสัทธาจุฬาราชมุนีได้บูรณะใหม่ให้มีลักษณะเจดีย์ทรงลังกา
จากนั้นใน สมัยอยุธยา ได้ก่อสร้างทับขึ้นเป็นพระปรางค์แบบขอม–อยุธยา และใน
สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างครอบองค์เดิมทั้งหมด ปรับรูปแบบ
เป็นเจดีย์ทรงระฆังตามแบบนครศรีธรรมราช และประดับกระเบื้องสีทอง
ในสมัยรัชกาลที่ 5 การบูรณะในแต่ละสมัยแสดงถึงความต่อเนื่องของศรัทธา
และความพยายามในการอนุรักษ์มรดกทางศาสนา จนกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญ
และความภาคภูมิใจของชาวนครปฐมมาจนถึงปัจจุบัน
สถาปัตยกรรมและศิลปกรรม
ขององค์พระปฐมเจดีย์
บริเวณโดยรอบองค์พระปฐมเจดีย์ประกอบไปด้วยวิหารทั้งสี่ทิศ โดยแต่ละทิศประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ
ที่มีความหมายเฉพาะเจาะจง ทั้งในเชิงศิลปกรรมและเชิงสัญลักษณ์ทางศาสนา นอกจากนี้ ส่วนยอด
ขององค์พระปฐมเจดีย์ประกอบด้วยนพศูลและมงกุฎ ซึ่งในสมัยที่หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล ดำรงตำแหน่ง
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ท่านได้เรียกส่วนนี้ว่า “พระมหาพิชัยมงกุฎ” พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นราชศิราภรณ์
ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำด้วยทองลงยาประดับเพชร
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้เสริมแต่งให้งดงามยิ่งขึ้น ถือเป็นสัญลักษณ์
แห่งความรุ่งเรืองและพระราชอำนาจ โดยมงกุฎที่ยอดพระปฐมเจดีย์นี้เปรียบเสมือนพระราชมงกุฎแห่งแผ่นดิน
พระวิหารทิศเหนือ
พระวิหารโถงด้านหน้าประดิษฐานพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ปางห้ามญาติ
ห้อยพระหัตถ์ซ้ายยกพระหัตถ์ขวาแบตั้งขึ้นเสมอพระอุระ มีความสูง 12 ศอก 4 นิ้ว
ประดิษฐานเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ ถวายพระนามพระพุทธรูปนี้ว่า
“พระร่วงโรจนฤทธิ์ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธราช ปูชนียบพิตร”
ภาพ: พระวิหารทิศเหนือ
พระวิหารทิศตะวันตก
เป็นพระวิหารที่สร้างขึ้นพร้อมกับพระวิหารทั้ง 4 ทิศของ
องค์พระปฐมเจดีย์
ภายในจัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน
คือส่วนด้านนอกหันไปทางทิศตะวันตก
ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์
ส่วนด้านหลังประดิษฐานพระพุทธรูปปางพระนิพพาน
ภาพ: พระวิหารทิศตะวันตก
พระวิหารทิศตะวันออก
เรียกกันว่าพระวิหารหลวง ห้องนอกประดิษฐานพระพุทธรูปปางตรัสรู้ประทับ
นั่งขัดสมาธิ
อยู่ใต้ต้นโพธิ์บัลลังก์ ห้องภายในมีแท่นบูชาเป็นของเก่าในรัชกาลที่ 4
ซึ่งเป็นที่
นมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 6 ให้วาดรูปองค์พระปฐมเจดีย์
แสดงให้เห็นลักษณะขององค์พระเจดีย์ตั้งแต่สมัยเริ่มสร้างมาจนถึงปัจจุบัน ผนังห้อง
ทั้ง 2 ด้านเป็นภาพวาดรูปเทวดา นักพรต ฤๅษี และพญาครุฑ ทุกภาพประนมมือ
แสดงการสักการบูชาพระปฐมเจดีย์ที่ชานมุขหน้าพระวิหารหลวงประดิษฐาน
พระพุทธมหาวชิระมารวิชัย
ภาพ: พระวิหารทิศตะวันออก
พระวิหารทิศใต้
เรียกกันว่าวิหารพระปัญจวัคคีย์ เนื่องจากห้องด้านนอกมีรูปปั้น
พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ
นั่งอยู่รอบองค์พระพุทธรูปปางปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ห้องด้านในประดิษฐาน
พระพุทธรูปปางนาคปรกเป็นพระพุทธรูป
ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ
หงายพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนบน
พระเพลาอย่างท่าปางสมาธิ มีรูปพญานาค 7 เศียร
แผ่พังพานอยู่เบื้อง
หลังขดเป็นพุทธบัลลังก์
ภาพ: พระวิหารทิศใต้
พระร่วงโรจนฤทธิ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระยุพราช
ได้เสด็จตรวจค้นโบราณสถานในมณฑลฝ่ายเหนือ เมื่อ พ.ศ. 2452 พบพระพุทธรูปชำรุด
องค์หนึ่งจมในพื้นวิหาร วัดโบราณในเมืองศรีสัชนาลัย โปรดให้ขุดขึ้น
พบพระเศียรพระหัตถ์ และพระบาทที่ยังดีไม่ชำรุดมีลักษณะงดงามต้องตาม
พระราชหฤทัยจึงโปรดให้เชิญลงมากรุงเทพมหานคร
ครั้งเสด็จครองราชสมบัติ จึงโปรดให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทำรูปหุ่นขี้ผึ้งปฏิสังขรณ์ปั้นให้เสร็จบริบูรณ์เต็มองค์ ตั้งการพระราชพิธีเททอง องค์พระพุทธรูปที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2456 เมื่อหล่อเสร็จ พระพุทธรูปองค์นี้มีความสูงตั้งแต่พระบาทถึงพระเกศา (ผม) อยู่ที่ 12 ศอก 4 นิ้ว คิดเป็นเมตร จะมีความสูงอยู่ที่ 7.42 เมตร มีลักษณะสมบูรณ์ทุกประการ ต่อมาใน เดือนมกราคม พ.ศ. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ วิหารฝั่งทิศอุดร (ทิศเหนือ) ขององค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐมตกแต่ง ประกอบองค์พระพุทธรูปและประดิษฐานเรียบร้อยในวันที่2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ศิลปะแบบสุโขทัย ประทับยืนอยู่บนฐาน โลหะทองเหลือง ลายบัวคว่ำบัวหงาย พระราชทานพระนามว่า “พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ธรรโมภาส มหาวชิรวุธราชบูชนิยบพิตร์” เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2466
ครั้งเสด็จครองราชสมบัติ จึงโปรดให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทำรูปหุ่นขี้ผึ้งปฏิสังขรณ์ปั้นให้เสร็จบริบูรณ์เต็มองค์ ตั้งการพระราชพิธีเททอง องค์พระพุทธรูปที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2456 เมื่อหล่อเสร็จ พระพุทธรูปองค์นี้มีความสูงตั้งแต่พระบาทถึงพระเกศา (ผม) อยู่ที่ 12 ศอก 4 นิ้ว คิดเป็นเมตร จะมีความสูงอยู่ที่ 7.42 เมตร มีลักษณะสมบูรณ์ทุกประการ ต่อมาใน เดือนมกราคม พ.ศ. 2457 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ วิหารฝั่งทิศอุดร (ทิศเหนือ) ขององค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐมตกแต่ง ประกอบองค์พระพุทธรูปและประดิษฐานเรียบร้อยในวันที่2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ศิลปะแบบสุโขทัย ประทับยืนอยู่บนฐาน โลหะทองเหลือง ลายบัวคว่ำบัวหงาย พระราชทานพระนามว่า “พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ธรรโมภาส มหาวชิรวุธราชบูชนิยบพิตร์” เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2466
ภาพ: พระร่วงโรจนฤทธิ์
พิพิธภัณฑ์องค์
พระปฐมเจดีย์
ภายในวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร บริเวณทางทิศตะวันออกของ
องค์พระปฐมเจดีย์เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ เพื่อเก็บรักษาโบราณวัตถุที่ค้นพบ
ในบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์และพื้นที่ใกล้เคียงได้แก่ พระพิมพ์ดินเผาสมัยทวารวดี
พระพุทธรูปหินทราย จารึก และชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมโบราณ ซึ่งล้วนเป็น
หลักฐานที่สะท้อนถึงความเป็นเมืองโบราณนครปฐม
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านโบราณคดี และประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา เปิดโอกาสให้นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้ศึกษาเรียนรู้ อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิง วัฒนธรรม ทำให้การเดินทางมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ไม่เพียงเป็น กิจกรรมทางศาสนา แต่ยังเป็นโอกาสในการเรียนรู้เชิงวิชาการ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านโบราณคดี และประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา เปิดโอกาสให้นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้ศึกษาเรียนรู้ อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิง วัฒนธรรม ทำให้การเดินทางมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ไม่เพียงเป็น กิจกรรมทางศาสนา แต่ยังเป็นโอกาสในการเรียนรู้เชิงวิชาการ
ภาพ: พิพิธภัณฑ์องค์พระปฐมเจดีย์
ที่มา: http://tolopoti.npru.ac.th/page.php?id=1
ที่มา: http://tolopoti.npru.ac.th/page.php?id=1
นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์ อาจารย์มนัสศักดิ์ รักอู่ นักวิชาการอิสระ ได้กล่าวว่า
ภายในบริเวณองค์พระมีพิพิธภัณฑ์สำคัญ 2 แห่ง ได้แก่ 1) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระปฐมเจดีย์ ภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร จัดแสดงโบราณวัตถุสมัยทวารวดี
และข้อมูลประวัติศาสตร์ของนครปฐม 2) พิพิธภัณฑ์วัดพระปฐมเจดีย์ ดูแลโดยวัด
จัดแสดงโบราณวัตถุทางศาสนา เช่น พระพุทธรูป ธรรมจักร และเครื่องบูชา
ทั้งสองพิพิธภัณฑ์สะท้อนคุณค่าทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ และศรัทธาที่ชาวนครปฐม
มีต่อองค์พระปฐมเจดีย์
ภาพ: องค์พระปฐมเจดีย์
องค์พระปฐมเจดีย์
ไม่มีเงา
ตำนานที่เล่าขานกันอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับองค์พระปฐมเจดีย์คือความเชื่อว่า “เจดีย์ไม่มีเงา” ไม่ว่าจะมองจากทิศใดหรือเวลาใดก็ตาม โดยเป็นเรื่องราวที่
เสริมสร้างความศักดิ์สิทธิ์และยกย่องพระปฐมเจดีย์ให้เป็นสถานที่เหนือ
ธรรมชาติ เชื่อมโยงกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุภายใน
ในด้านวิชาการนักประวัติศาสตร์ศิลป์และโบราณคดีให้คำอธิบายว่าความเชื่อ
เรื่อง“เจดีย์ไม่มีเงา”เกิดจากลักษณะขององค์พระปฐมเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่สูงถึง
กว่า 120 เมตร และตั้งอยู่บนฐานกว้างที่ยกสูง เมื่อต้องแสงอาทิตย์ในช่วงกลางวัน เงาที่เกิดขึ้นจะตกซ้อนอยู่บนฐานและตัวองค์เจดีย์เองไม่ทอดยาวออกไปให้เห็น
ชัดเจนเหมือนสิ่งปลูกสร้างทั่วไป ทำให้ผู้คนมองว่าเจดีย์นี้ไม่มีเงา
(กรมศิลปากร, 2554, กรมศิลปากร, 2560, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2555, ศรีศักร วัลลิโภดม, 2540)
ภาพ: องค์พระปฐมเจดีย์
พระพุทธรูปและรูปหล่อสำริด
รอบระเบียงองค์พระปฐมเจดีย์
ในปี พ.ศ.2526 มีประชาชนร่วมกันบริจาคพระพุทธรูป พุทธประวัติ
เป็นครั้งแรก จำนวน 66 ปาง โดยเริ่มต้นจากปางพระพุทธเจ้าออกผนวช
- ปรินิพพาน อยู่บริเวณรอบฐานองค์พระปฐมเจดีย์ ต่อมามีประชาชน นำพระพุทธรูปมาบริจาคเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมากจวบจนถึงปัจจุบัน
ในอดีตระเบียงรอบองค์พระปฐมเจดีย์เต็มไปด้วยพระพุทธรูปและ รูปหล่อสำริดที่สร้างขึ้นจากกำลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชน จำนวน 80 องค์ แต่ในปัจจุบันมีเพิ่มถึง 107 องค์
- ปรินิพพาน อยู่บริเวณรอบฐานองค์พระปฐมเจดีย์ ต่อมามีประชาชน นำพระพุทธรูปมาบริจาคเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมากจวบจนถึงปัจจุบัน
ในอดีตระเบียงรอบองค์พระปฐมเจดีย์เต็มไปด้วยพระพุทธรูปและ รูปหล่อสำริดที่สร้างขึ้นจากกำลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชน จำนวน 80 องค์ แต่ในปัจจุบันมีเพิ่มถึง 107 องค์
พระพุทธรูปและรูปหล่อสำริดองค์สำคัญ ดังนี้
สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)
หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
( สมเด็จเจ้าพะโคะ )
( สมเด็จเจ้าพะโคะ )
พระสีวลี
พระพุทธรูปปางเสด็จจากดาวดึงส์
พระพุทธรูปประจำวันเกิด
8 องค์ ดังนี้
วันจันทร์
พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร
พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร
วันอังคาร
พระพุทธรูปปางไสยาสน์
พระพุทธรูปปางไสยาสน์
วันพุธกลางวัน
พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร
พระพุทธรูปปางอุ้มบาตร
วันพุธกลางคืน
พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์
พระพุทธรูปปางป่าเลไลย์
วันพฤหัสบดี
พระพุทธรูปปางสมาธิ
พระพุทธรูปปางสมาธิ
วันศุกร์
พระพุทธรูปปางรำพึง
พระพุทธรูปปางรำพึง
วันเสาร์
พระพุทธรูปปางนาคปรก
พระพุทธรูปปางนาคปรก
วันอาทิตย์
พระพุทธรูปปางถวายเนตร
พระพุทธรูปปางถวายเนตร
พระพุทธรูปปางพิเศษที่ประจำรัชกาลที่ 6
และพระพุทธรูปปางต่าง ๆ
ตามพระพุทธประวัติ 66 องค์ โดยจะยกมา 4 องค์ ดังนี้ ๆ
พระพุทธรูปปางที่ 31
ปางรับผลมะม่วง
พระอิริยาบถนั่งสมาธิ พระหัตถ์ซ้าย (มือซ้าย) หงายบนพระเพลา (ขาหรือตัก)
พระหัตถ์ขวา (มือขวา) วางหงายบนพระชานุ (เข่า) ในฝ่าพระหัตถ์มีผลมะม่วง
ปางนี้มาจากตอนที่พระพุทธเจ้าถูกเหล่าเดียรถีย์ประกาศว่าจะกระทำการปาฏิหาริย์
ข่มพุทธบารมี จึงจะแสดงพุทธปาฏิหาริย์เพื่อปราบเหล่าเดียรถีย์ที่ใต้ต้นมะม่วง
เดียรถีย์พากันไปถอนต้นมะม่วงออก แต่มีคนสวนนำมะม่วงมาถวายพระพุทธเจ้า
เมื่อเสวยจนหมด จึงนำเม็ดมะม่วงไปปลูก ต้นมะม่วงก็เติบโตอย่างรวดเร็ว
ทำให้พระพุทธเจ้าทำพุทธปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ
ภาพ: พระพุทธรูปปางที่ 31 ปางรับผลมะม่วง
พระพุทธรูปปางที่ 36
ปางเสด็จลงมาจากดาวดึงส์
พระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นเสมอพระอุระ (หน้าอก) จีบนิ้วพระหัตถ์
ทั้งสองเป็นกิริยาแสดงธรรม ปางนี้มาจากตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังดาวดึงส์
พระอินทร์ได้เนรมิตบันไดสามบันได บันไดกลางเป็นแก้วสำหรับพระพุทธเจ้า
บันไดซ้ายเป็นทองสำหรับพระอินทร์
และบันได้ขวาเป็นเงินสำหรับพระพรหม ปางนี้จะมีคำบรรยายปางที่เหมือนกับปางลีลาเพราะมาจากพุทธประวัติตอนเดียวกัน
พระพุทธรูปนี้ เป็นพระพุทธรูปประจำเดือน 11 เช่นเดียวกับปางลีลา
ภาพ: พระพุทธรูปปางที่ 36 ปางเสด็จลงมาจากดาวดึงส์
พระพุทธรูปปางที่ 43
ปางชี้อสุภะ
พระอิริยาบถยืน พระกรซ้าย (แขนซ้าย) ห้อยข้างพระวรกาย พระหัตถ์ขวา
ยกขึ้นเสมอบั้นพระองค์ชี้ดัชนี (นิ้วชี้) เป็นกิริยาชี้อสุภ ปางนี้มาจากตอนที่
พระพุทธเจ้าประทับ ณ เมืองราชคฤห์ มีโสเภณีนางหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อนางเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าจึงเลิกอาชีพโสเภณี มุ่งสู่ทางธรรม เมื่อนางเสียชีวิต
พระพุทธเจ้าโปรดให้ปล่อยร่างของนางไว้สามวัน เพื่อให้ผู้คนเห็นรูปร่างที่เน่าอืด สื่อถึงสังขารนั้นไม่ยั่งยืน
ภาพ: พระพุทธรูปปางที่ 43 ปางชี้อสุภะ
พระพุทธรูปปางที่ 47
ปางสนเข็ม
พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้นเสมอพระอุระ พระหัตถ์ซ้าย
ทำกิริยาจับเข็ม พระหัตถ์ขวาทำกิริยาจับเส้นด้าย ทำกิริยาสนเข็ม ปางนี้มาจาก
ตอนที่พระพุทธเจ้าประทับ ณ เวฬุวนารามใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ พระองค์ทรง
ช่วยพระเถระองค์หนึ่งเย็บจีวร การเย็บนี้เป็นงานใหญ่ เหตุจากเป็นผ้าบังสุกุล
การที่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุร่วมกันเย็บผ้าบังสุกุล ทำให้เกิดการทอดผ้าป่าในปัจจุบัน
พระพุทธรูปปางนี้เป็นพระพุทธรูปประจำปีนักษัตรมะเมียนอกจากพระพุทธรูปปาง
ตามพระพุทธประวัติแล้ว ยังมีรูปหล่อสำริดอีก 27 องค์ เช่น พระศรีอาริย์
หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง พระหลักเมือง พระกาฬ เป็นต้น
ภาพ: พระพุทธรูปปางที่ 47 ปางสนเข็ม
โดยสรุป
พระพุทธรูปและรูปหล่อสำริดรอบระเบียงขององค์พระปฐมเจดีย์ มีทั้งสิ้น
107 องค์ แบ่งเป็นพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ตามพุทธประวัติ 66 องค์ พระพุทธรูป
ปางพิเศษที่เป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 61 องค์ พระพุทธรูปประจำวันเกิด
8 องค์ พระพุทธรูปและรูปหล่อสำริดอื่น ๆ อีก 32 องค์
(ศิลปวัฒนธรรม. “พระร่วงโรจนฤทธิ์” พ.ศ. 2566. ออนไลน์)
ภาพ: จิตรกรรมฝาผนัง
จิตรกรรมฝาผนัง
จิตรกรรมฝาผนังภายในองค์พระปฐมเจดีย์มีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอด
เรื่องราวทางพระพุทธศาสนาและสะท้อนความเจริญรุ่งเรืองของศิลปกรรมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เนื้อหาที่ปรากฏในจิตรกรรมแบ่งได้เป็น 3 ประเด็นหลัก
ได้แก่
พุทธประวัติ
ตั้งแต่เหตุการณ์ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรม จนถึงปรินิพพาน ซึ่งเป็นการบันทึก
พระราชประวัติของพระพุทธเจ้าในลักษณะภาพเล่าเรื่องที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ชม
เกิดความเข้าใจในหลักธรรมและความยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์
ทศชาติชาดก
ที่มุ่งเน้นการแสดงคุณธรรมและการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ เป็นแบบอย่าง
ทางศีลธรรมและคุณธรรมแก่พุทธศาสนิกชน
พุทธศาสนาในเอเชีย
โดยมีภาพที่สะท้อนความสัมพันธ์ทางศาสนากับประเทศเพื่อนบ้าน
เช่น ศรีลังกา พม่า และขอม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเครือข่ายความศรัทธาและ
การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค
ในด้านลักษณะทางศิลป์
จิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวใช้ สีเอกรงค์และโทนอบอุ่น เช่น แดง เหลือง และทอง
ซึ่งสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์และสงบเสงี่ยม อีกทั้งยังมีการใช้ เส้นขอบที่ชัดเจน อันเป็นลักษณะเฉพาะของจิตรกรรมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น การจัด
องค์ประกอบภาพมุ่งเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์เพื่อให้ผู้ชมติดตามเรื่องราว
ได้อย่างลื่นไหลและเข้าใจเนื้อหาที่ต้องการสื่อจิตรกรรมฝาผนังภายใน
องค์พระปฐมเจดีย์ไม่เพียงเป็นงานศิลปะตกแต่งภายใน แต่ยังเป็น “คัมภีร์ภาพ” ที่ใช้สอนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อน
การผสมผสานทั้งศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมไทยในประวัติศาสตร์
(กรมศิลปากร, 2560)
เทศกาลนมัสการ
องค์พระปฐมเจดีย์
เทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนพฤศจิกายน
โดยจัดต่อเนื่องกว่า 9 วัน 9 คืน งานดังกล่าวมีลักษณะเป็นทั้งพิธีกรรมทางศาสนา
และงานวัฒนธรรมท้องถิ่น พิธีหลัก ได้แก่ การสมโภชองค์พระปฐมเจดีย์ การเวียนเทียน
และการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ภายในงานยังมีมหรสพ การละเล่นพื้นบ้าน และตลาดนัดชุมชน
สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานของมิติ
ทางศาสนากับเศรษฐกิจและวัฒนธรรมชุมชน
งานเทศกาล
และประเพณีที่เกี่ยวข้อง
ภาพ: งานประเพณีตักบาตรเทโว
ที่มา: https://dsa.su.ac.th/ksu/?p=1881
ที่มา: https://dsa.su.ac.th/ksu/?p=1881
งานประเพณีตักบาตรเทโว
จัดขึ้นหลังออกพรรษาเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์
ชั้นดาวดึงส์หลังโปรดพระมารดา ประเพณีนี้สื่อถึงจักรวาลทัศน์ของพุทธศาสนา
และยังเป็นกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับชุมชน
ภาพ: วันวิสาขบูชา
เทศกาลสำคัญทางพระพุทธศาสนา
พระปฐมเจดีย์เป็นสถานที่จัดงานสำคัญ ได้แก่ วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา
และวันอาสาฬหบูชา ในแต่ละวันมีการเวียนเทียนและสวดมนต์โดยมีพุทธศาสนิกชน
มาร่วมเป็นจำนวนมาก สะท้อนถึงบทบาทของพระปฐมเจดีย์ในการธำรงรักษา
ขนบธรรมเนียมและศรัทธา พระปฐมเจดีย์ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่
พระพุทธศาสนา และเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและราชพิธี
เช่น การเวียนเทียน วันพระใหญ่ พิธีสวดมนต์ข้ามปี และพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับ
พระพุทธศาสนา พิธีกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงการเชื่อมโยงของศาสนากับสังคมไทย
ที่มีองค์พระปฐมเจดีย์เป็นเสมือนสัญลักษณ์ทางศาสนาที่หลอมรวมความเชื่อ วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ชาติไทย
( กรมศิลปากร, 2554, กรมศิลปากร, 2560, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2565, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2555, ศรีศักร วัลลิโภดม, 2540 )
วิดีโอ | องค์พระปฐมเจดีย์
แหล่งอ้างอิง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2565). เทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์. Museum Thailand.
https://www.museumthailand.com/th/3085/storytelling/พระปฐมเจดีย์/
กรมศิลปากร. (2554). ประติมากรรมสุโขทัย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
กรมศิลปากร. (2560). รายงานการอนุรักษ์พระปฐมเจดีย์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. (2555). ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป. กรุงเทพฯ: มติชน.
ศรีศักร วัลลิโภดม. (2540). โบราณคดีทวารวดี. กรุงเทพฯ: มติชน.
ศิลปวัฒนธรรม. (2566). พระพุทธรูปและรูปหล่อสำริด รอบระเบียงองค์พระปฐมเจดีย์.
ศิลปวัฒนธรรมออนไลน์.
https://www.silpa-mag.com/culture/article_144387
ศิลปวัฒนธรรม. (2566). พระร่วงโรจนฤทธิ์. ศิลปวัฒนธรรมออนไลน์.
https://www.silpa-mag.com/art/article_143784
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. (ม.ป.ป.). นิทรรศการนครปฐมศรีทวารวดี.
http://tolopoti.npru.ac.th/page.php?id=2-1
หนังสือปกิณกศิลปวัฒนธรรม. (ม.ป.ป.). จังหวัดนครปฐม (เล่มที่ 26) (หน้า 25–34, 64–65). กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน.
สวยงามตาแม่น้ำท่าจีน
แม่น้ำเป็นเส้นเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของมนุษย์ แม่น้ำท่าจีนหรือ
แม่น้ำนครชัยศรีก็เป็นแม่น้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตในนครปฐมมาเนิ่นนาน
ทำให้นครปฐมเป็นดินแดนแห่งเกษตรกรรมที่มีชื่อเสียงของประเทศ และเป็น
ที่ก่อตั้งชุมชนก่อให้เกิดอารยธรรมลุ่มน้ำที่มีพัฒนาการสืบเนื่องมา
แม่น้ำท่าจีนถูกเพิ่มเข้ามาในคำขวัญจังหวัดนครปฐมใน พ.ศ. 2553 เพื่อ สะท้อนถึงความสำคัญของแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่าน ตัวเมืองนครปฐม และเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ การที่แม่น้ำท่าจีน ถูกเพิ่มเข้ามาในคำขวัญสะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติ ที่เปรียบเสมือนอู่ข้าว อู่น้ำ ของจังหวัดนครปฐม
แม่น้ำท่าจีนถูกเพิ่มเข้ามาในคำขวัญจังหวัดนครปฐมใน พ.ศ. 2553 เพื่อ สะท้อนถึงความสำคัญของแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่าน ตัวเมืองนครปฐม และเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ การที่แม่น้ำท่าจีน ถูกเพิ่มเข้ามาในคำขวัญสะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติ ที่เปรียบเสมือนอู่ข้าว อู่น้ำ ของจังหวัดนครปฐม
ภาพ: แม่น้ำท่าจีนสมัยก่อน
ที่มา: มนัสศักดิ์ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: มนัสศักดิ์ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ประวัติแม่น้ำท่าจีน
จุดกำเนิดและเส้นทางของแม่น้ำท่าจีน
แม่น้ำท่าจีนหรือแม่น้ำนครชัยศรี อยู่ทางตะวันตกของที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
และอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีนมีจุดกำเนิดแยกออกมา
จากฝั่งขวาบริเวณตอนใต้ของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์
จังหวัดชัยนาท (แม่น้ำมะขามเฒ่า) จากนั้นจะไหลผ่านจังหวัดสุพรรณบุรี
(แม่น้ำสุพรรณบุรี) จังหวัดนครปฐม (แม่น้ำท่าจีนหรือแม่น้ำนครชัยศรี) และ
ออกสู่ทะเลอ่าวไทยที่ตำบลบางหญ้าแพรก จังหวัดสมุทรสาคร (แม่น้ำท่าจีน)
มีความยาวรวมทั้งสิ้น 325 กิโลเมตร
ภาพ: แม่น้ำท่าจีนสมัยก่อน
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำท่าจีน ทั้ง 3 เป็น
อันหนึ่งอันเดียวกันของที่ราบภาคกลางตอนล่าง ลุ่มน้ำท่าจีนจึงมีอาณาบริเวณ
ติดต่อสัมพันธ์กับดินแดนโดยรอบข้างได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง
อยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ สมุทรสงคราม ราชบุรี และกาญจนบุรี
ทั้งนี้แม่น้ำท่าจีนมีลำคลองต่าง ๆ เชื่อมถึงกัน ทำให้บริเวณแม่น้ำท่าจีน มีภูมิประเทศที่เหมาะแก่การเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวและการค้าขาย จึงมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติทั้งกลุ่มคนไทย ลาว จีน มอญ เขมร อพยพเข้ามา ตั้งถิ่นฐานนับตั้งแต่สมัยทวารวดีจนถึงสมัยกรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ โดย แม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน 3 อำเภอของจังหวัดนครปฐม คือ อำเภอบางเลน อำเภอนครชัยศรี และอำเภอสามพราน เป็นระยะทางประมาณ 97 กิโลเมตร (ประวัติศาสตร์สังคมของชุมชนในลุ่มน้ำท่าจีน, หน้า 439, 2539)
ทั้งนี้แม่น้ำท่าจีนมีลำคลองต่าง ๆ เชื่อมถึงกัน ทำให้บริเวณแม่น้ำท่าจีน มีภูมิประเทศที่เหมาะแก่การเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวและการค้าขาย จึงมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติทั้งกลุ่มคนไทย ลาว จีน มอญ เขมร อพยพเข้ามา ตั้งถิ่นฐานนับตั้งแต่สมัยทวารวดีจนถึงสมัยกรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ โดย แม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน 3 อำเภอของจังหวัดนครปฐม คือ อำเภอบางเลน อำเภอนครชัยศรี และอำเภอสามพราน เป็นระยะทางประมาณ 97 กิโลเมตร (ประวัติศาสตร์สังคมของชุมชนในลุ่มน้ำท่าจีน, หน้า 439, 2539)
ภาพ: แม่น้ำท่าจีนสมัยก่อน
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ชื่อแม่น้ำท่าจีน
นักวิชาการสันนิษฐานว่า ที่มาของชื่อแม่น้ำท่าจีนอาจเรียกตามความสำคัญของ
สถานที่ที่แม่น้ำสายนี้ไหลลงสู่อ่าวไทย ด้วยในอดีตบ้านท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร
เป็นเมืองชายทะเลฝั่งอ่าวไทย มีท่าเทียบเรือขนาดใหญ่สำหรับขนถ่ายสินค้า
มีชาวจีนโพ้นทะเลมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือนี้จำนวนไม่น้อย และตั้งถิ่นฐานเกิดเป็น
ชุมชนชาวจีนขึ้นมา และลักษณะที่คดเคี้ยวของแม่น้ำท่าจีนทำให้คนจีนในอดีต
พิจารณาตามหลักฮวงจุ้ย และเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของมังกร จึงเรียกว่า "เหล่งเกียฉู่"
หรือ "บ้านของมังกร" ซึ่งน่าจะเป็นคำเดียวกับ “หลั่งเกียฉู่” ที่เอกสารจีนใช้เรียก
แม่น้ำในสมัยทวารวดี
ความสำคัญของแม่น้ำท่าจีนในประวัติศาสตร์นครปฐมสะท้อนให้เห็นถึง บทบาทเส้นทางคมนาคมและการค้า ตั้งแต่ยุคทวารวดีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งแม่น้ำสายนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลางของไทยมายาวนาน
ความสำคัญของแม่น้ำท่าจีนในประวัติศาสตร์นครปฐมสะท้อนให้เห็นถึง บทบาทเส้นทางคมนาคมและการค้า ตั้งแต่ยุคทวารวดีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งแม่น้ำสายนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ในพื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลางของไทยมายาวนาน
ภาพ: แม่น้ำท่าจีนสมัยก่อน
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห้งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห้งชาติ
1. สมัยทวารวดี
จากหลักฐานการขุดค้นพบซากเรือโบราณอีกลำหนึ่งที่พบจากการขุดลอก
บึงกุ่ม บึงบางช้าง ในเขตตำบลธรรมศาลา อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ในช่วงต้นปี
พ.ศ. 2558 ได้ตักทำลายชิ้นส่วนประกอบของเรือไม้โบราณที่จมอยู่ในดินเลนชายน้ำ
รวมทั้งภาชนะดินเผาและวัสดุอื่น ๆ ขึ้นมากองทิ้งเป็นแนวเนินดินบนตลิ่งจำนวนมาก
แม่น้ำท่าจีนเป็นเส้นทางการค้าทางเรือที่สำคัญเส้นทางหนึ่งที่นำพาสินค้าจาก
ดินแดนภายนอกเข้ามาสู่ลุ่มน้ำภาคกลาง และยังเป็นเส้นทางส่งออกสินค้าเช่นกัน
โดยเฉพาะในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-14 เป็นช่วงที่เส้นทางการค้าเส้นทางสายไหม
ทางทะเลเจริญรุ่งเรือง เทคโนโลยีการเดินเรือมีความก้าวหน้าอย่างมาก ทำให้การ
เดินเรือข้ามทวีปสามารถทำได้ เกิดเป็นเครือข่ายการค้าตามเส้นทางสายไหม
ทางทะเล (Facebook: Voranai Pongsachalakorn, 2568)
ภาพ: เรือโบราณปฐมไพบูลย์ ที่พบจากเมืองโบราณนครปฐม
ที่มา: https://www.facebook.com/photo/?fbid=2199832440481446&set=pcb.2199833173814706
ที่มา: https://www.facebook.com/photo/?fbid=2199832440481446&set=pcb.2199833173814706
นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์ นฤมล บุญญานิตย์ ข้าราชการเกษียณ ซึ่งเคยเป็น
หัวหน้างานศูนย์ข้อมูลภาคตะวันตกของหอสมุดพระราชวังสนามจันทร์สำนักหอสมุด
กลางมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้กล่าวว่า เรือปฐมไพบูลย์ ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2558
ที่บ้านสระอ้อ ตำบลธรรมศาลา จังหวัดนครปฐม โดยคุณไพบูลย์ พวงสำลี พบชิ้น
ส่วนไม้และภาชนะโบราณขณะขุดลอกบึงกุ่ม ภายหลังตรวจสอบพบว่าเป็นเรือยุค
ทวารวดี คล้ายเรือพนมสุรินทร์ที่ผูกต่อด้วยเชือก จึงยืนยันว่านครปฐมเคยเป็น
ศูนย์กลางการค้าและคมนาคมทางน้ำในอดีต และชื่อเรือปฐมไพบูลย์ ตั้งขึ้นเพื่อ
เป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ และอยู่ระหว่างการศึกษาเผยแพร่ต่อไป
2.สมัยอยุธยา
ในสมัยอยุธยาได้ปรากฏชื่อ "เมืองท่าจีน" ในกฎหมายพระอัยการนาหัวเมือง
ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. 1998 แสดงให้เห็นว่าเมืองท่าจีน
เป็นหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตกที่มีขนาดใหญ่พอควร ผู้ปกครองมีราชทินนามว่า
"พระสมุทรสาคร" บ้านท่าจีนเป็นชุมชนที่มีความสำคัญมา ตั้งแต่สมัยอยุธยา และ
เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้าไปยังพื้นที่อื่น ๆ เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณปากคลอง
สุนัขหอน(คลองที่ขุดเชื่อมระหว่างแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลอง) มีวัดใหญ่
จอมปราสาทเป็นศูนย์กลางของชุมชน คำว่า “ท่าจีน” เป็นการรวมกันระหว่างคำว่า
“ท่า” คือ ท่าน้ำสำหรับจุดจอดเรือขนถ่ายสินค้า และคำว่า “จีน” คือชาวจีนโพ้นทะเล
ที่เข้ามาอาศัยอยู่บริเวณท่าน้ำ และประกอบอาชีพขนถ่ายสินค้า
ภาพ: บ้านเรือนริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน
ที่มา: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
3.สมัยรัตนโกสินทร์
จากภูมิประเทศของแม่น้ำท่าจีนที่มีลำคลองมากมายทั้งคลองธรรมชาติและ
คลองขุด ทำให้อุดมสมบูรณ์ เหมาะต่อการทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ หาปลา
จึงเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญ และมีประชากรตั้งถิ่นฐานมาแต่อดีต นอกจากนี้
ยังมีประชากรอพยพมาตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ทั้งนี้เส้นทางตามแม่น้ำและลำคลองต่าง ๆ เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญต่อการค้าขาย
ทั้งภายในและภายนอก ส่งผลต่อการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่นบริเวณลุ่มน้ำท่าจีน
บริเวณลุ่มน้ำท่าจีนมีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมากในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ รวมทั้งเป็นแหล่งผลประโยชน์และรายได้ของกรุงเทพฯ เช่น ส่วย ค่าผูกปี้ แรงงาน อากรค่านา อากรค่าน้ำ อากรสมพัตสร อากรจันอับ อากรฝิ่น อากรสุรา อากรบ่อนเบี้ย ภาษีโรงเรือน ภาษีร้านค้า และอื่น ๆ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ปฏิรูปการบริหาร การปกครองส่วนภูมิภาค โดยใช้การปกครองระบบเทศาภิบาล และใน พ.ศ. 2438 โปรดฯ ให้รวมเมืองสุพรรณบุรี นครชัยศรี และสมุทรสาครเข้าเป็น “มณฑลนครชัยศรี” มีข้าหลวงเทศาภิบาลประจำอยู่ที่เมืองนครชัยศรี คือ อำเภอนครชัยศรีปัจจุบัน ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศ ยุบเมืองนครชัยศรีเป็นเพียงอำเภอหนึ่งขึ้นกับเมืองนครปฐม การปกครองแบบ มณฑลเทศาภิบาลได้ยกเลิกใน พ.ศ. 2476 บริเวณลุ่มน้ำท่าจีนจึงมีรูปแบบการบริหาร การปกครองจังหวัดเช่นปัจจุบัน (สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, หน้า 443-444, 2539)
บริเวณลุ่มน้ำท่าจีนมีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างมากในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ รวมทั้งเป็นแหล่งผลประโยชน์และรายได้ของกรุงเทพฯ เช่น ส่วย ค่าผูกปี้ แรงงาน อากรค่านา อากรค่าน้ำ อากรสมพัตสร อากรจันอับ อากรฝิ่น อากรสุรา อากรบ่อนเบี้ย ภาษีโรงเรือน ภาษีร้านค้า และอื่น ๆ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ปฏิรูปการบริหาร การปกครองส่วนภูมิภาค โดยใช้การปกครองระบบเทศาภิบาล และใน พ.ศ. 2438 โปรดฯ ให้รวมเมืองสุพรรณบุรี นครชัยศรี และสมุทรสาครเข้าเป็น “มณฑลนครชัยศรี” มีข้าหลวงเทศาภิบาลประจำอยู่ที่เมืองนครชัยศรี คือ อำเภอนครชัยศรีปัจจุบัน ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศ ยุบเมืองนครชัยศรีเป็นเพียงอำเภอหนึ่งขึ้นกับเมืองนครปฐม การปกครองแบบ มณฑลเทศาภิบาลได้ยกเลิกใน พ.ศ. 2476 บริเวณลุ่มน้ำท่าจีนจึงมีรูปแบบการบริหาร การปกครองจังหวัดเช่นปัจจุบัน (สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, หน้า 443-444, 2539)
ภาพ: การทำนา ทำไร่ ทำสวน
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ท่าจีน แม่น้ำสามชื่อ
คนไทยนิยมเรียกชื่อแม่น้ำตามท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ แม่น้ำท่าจีนซึ่งเป็นแม่น้ำ
สายสำคัญสายหนึ่งในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางจึงมีหลายชื่อเมื่อไหลผ่านจังหวัด
ต่าง ๆ เริ่มจากเมื่อแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่บ้านปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์
จังหวัดชัยนาท จนมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรีชื่อว่า แม่น้ำสุพรรณบุรี เมื่อไหลเข้า
เขตจังหวัดนครปฐม ซึ่งเดิมชื่อเมืองนครชัยศรี จึงมีชื่อว่า แม่น้ำนครชัยศรี จนไหลผ่านพื้นที่
จังหวัดสมุทรสาคร ลงสู่อ่าวไทย จึงมีชื่อว่า แม่น้ำท่าจีน
สันนิษฐานว่าที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีกลุ่มชาวจีนอพยพเข้ามายังสยาม
และได้ขึ้นฝั่งตามบริเวณจังหวัดชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะที่อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่ง
ในจังหวัดสมุทรสาคร เป็นจำนวนมาก จนเกิด บ้านท่าจีนและกลายเป็นชื่อแม่น้ำ
ในเวลาต่อมา (อนุรัตน์ วัฒนาวงศ์สว่าง, หน้า 23, 2556)
ภาพ: แม่น้ำท่าจีน
ที่มา: มนัสศักดิ์ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: มนัสศักดิ์ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์ อาจารย์สัญญา สุดล้ำเลิศ ได้กล่าวว่า แม่น้ำท่าจีน
เป็นแม่น้ำสายหลักที่สำคัญ เพราะมีชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานจำนวนมาก
จึงเรียกว่า ท่าจีน ชาวจีนที่เข้ามาอาศัยสองฝั่งแม่น้ำส่วนใหญ่ทำงานเป็นกุลีและ
ขุดคลอง ในสมัยรัชกาลที่ 3 ชาวจีนมีบทบาทมาก โดยเฉพาะในงานเก็บภาษีจาก
เรือสินค้า เมื่อชาวจีนเพิ่มจำนวนขึ้น จึงตั้งรกรากและสร้างตลาดสำคัญ เช่น ตลาดใหม่
ตลาดดอนหวาย และตลาดท่าเกวียน ส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ในเรือและประกอบอาชีพ
รับจ้างทั่วไป เช่น การขุดคลองมหาสวัสดิ์
ลักษณะทางภูมิศาสตร์
ของแม่น้ำท่าจีน
บริเวณสองฝั่งของแม่น้ำท่าจีนส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มเหมาะสำหรับการเกษตร
โดยเฉพาะการปลูกข้าว ทำสวนผลไม้ และการค้าขาย บริเวณพื้นที่ฝั่งแม่น้ำ
บางส่วนมีความคดโค้งมาก และริมตลิ่งจะมีน้ำไหลกัดเซาะดินพัง เรียกว่า ฝั่งคุ้ง
บริเวณฝั่งตรงกันข้ามจะเป็นฝั่งที่ดินงอกจากริมตลิ่งออกมา เรียกว่า ฝั่งเลน
จะมีความอุดมสมบูรณ์ของดินเหมาะกับการปลูกพืชผักผลไม้มาก โดยเฉพาะ
การปลูก ส้มโอ มะพร้าว มะม่วง ชมพู่ องุ่น และฝรั่ง ดังนั้นบริเวณสองฟากฝั่ง
แม่น้ำท่าจีนจึงเต็มไปด้วยสวนผลไม้ โดยเฉพาะฝั่งเลนตลอดทั้งสองฝั่งของ
แม่น้ำท่าจีนมีคลองสำหรับส่งน้ำจากแม่น้ำเข้าไปในสวนและพื้นที่นา ประมาณ 370 คลอง
ในทุกวันจะมีน้ำไหลขึ้นและไหลลง 2 ครั้ง ตามธรรมชาติ ในหน้าแล้ง
เวลาน้ำไหลลงนั้นน้ำในคลองจะแห้ง ชาวบ้านจะนำเครื่องมือจับสัตว์น้ำมากั้น เรียกว่า
เฝือกและลอบดักปลา ปลาจะเข้าลอบ นำไปประกอบอาหารได้ ตลอดสาย
น้ำในแม่น้ำโดยเฉพาะฝั่งเลนจะมีพืชน้ำขึ้นอยู่เต็มตลิ่ง เช่น ผักบุ้ง ลำเจียก และ
ผักตบชวา เป็นต้น
ภาพ: แม่น้ำท่าจีนสมัยก่อน
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ภาพ: แม่น้ำท่าจีน
คลองสาขา
ของแม่น้ำท่าจีน
นอกจากนี้ยังมีคลองธรรมชาติและคลองซอยที่ขุดขึ้นทางซีกตะวันออกของ
แม่น้ำท่าจีนเพื่อประโยชน์ในการเพาะปลูกและขนส่งผลผลิตทางด้านเกษตรกรรม
ไปสู่ตลาด เช่น คลองนิลเพชร คลองประชาศรัย คลองพระพิมล คลองบางภาษี คลองนราภิรมย์ คลองมหาสวัสดิ์ คลองอ้อมใหญ่ เป็นต้น ส่วนคลองธรรมชาติ
จะอยู่ทางซีกตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน เช่น คลองบางแก้ว คลองบางเลน คลองบางปลา คลองบางระกํา และคลองสามพราน เป็นต้น
ภาพ: แม่น้ำท่าจีน
วิถีชีวิตชุมชน
ลุ่มน้ำท่าจีน
ลุ่มน้ำท่าจีน
บริเวณที่ราบลุ่มน้ำท่าจีนมีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานอาศัยอย่างหนาแน่นอยู่ตั้งแต่
อดีตจวบจนปัจจุบัน สังเกตได้ว่าประชากรในลุ่มน้ำท่าจีน มักจะตั้งชื่อหมู่บ้าน
ตามลักษณะภูมิประเทศ เช่น บางเลน ดอนหวาย ตามธรรมชาติแวดล้อม บริเวณ
ไม่ไกลจากแม่น้ำลำคลองนักมักจะมีการทำไร่ทำนาเป็นทุ่งโล่งไกลออกไป จึงมีคน
อยู่อาศัยค่อนข้างเบาบาง ประชากรที่อยู่ในบริเวณที่ดอนมักจะเดินทางเข้าหรือ
ใช้เกวียนมาติดต่อกับหมู่บ้านริมน้ำซึ่งมักมีตลาด เพื่อมาซื้อข้าวปลาอาหารและ
ของใช้จากกรุงเทพฯ หรือที่ชุมชนอื่น ๆ นำมาแลกเปลี่ยนหรือขาย โดยคนในที่ดอน
มักจะนำเอาข้าว เครื่องจักรสาน และโดยมากเป็น “ของป่า” ได้แก่
เสาไม้ ไม้ไผ่ น้ำผึ้ง ถ่าน ปืน หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ป่ามาแลกเปลี่ยนหรือขาย
ตลอดริมสองฝั่งแม่น้ำท่าจีนและริมคลองสาขาต่าง ๆ มักมีการตั้งบ้านเรือนหมู่บ้าน เรียงรายอยู่เป็นระยะ ส่วนใหญ่หมู่บ้านริมน้ำมักจะเกิดขึ้นก่อน ต่อมาเมื่อมีการ ขยายชุมชน จึงขยับเข้าไปตอนในหรือที่ดอน กลุ่มชนต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำท่าจีน ถ้าแยกตามบรรพบุรุษที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานจะ ได้แก่ ไทย ลาวพวน ลาวเวียง ลาวโซ่ง ญวน มอญ และจีน (สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, หน้า 444-450, 2539)
ตลอดริมสองฝั่งแม่น้ำท่าจีนและริมคลองสาขาต่าง ๆ มักมีการตั้งบ้านเรือนหมู่บ้าน เรียงรายอยู่เป็นระยะ ส่วนใหญ่หมู่บ้านริมน้ำมักจะเกิดขึ้นก่อน ต่อมาเมื่อมีการ ขยายชุมชน จึงขยับเข้าไปตอนในหรือที่ดอน กลุ่มชนต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำท่าจีน ถ้าแยกตามบรรพบุรุษที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานจะ ได้แก่ ไทย ลาวพวน ลาวเวียง ลาวโซ่ง ญวน มอญ และจีน (สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, หน้า 444-450, 2539)
ภาพ: แม่น้ำท่าจีน
ภาพ: ประเพณีการแข่งขันเรือยาว
1. วัฒนธรรมและประเพณีลุ่มน้ำท่าจีน
ประเพณีการแข่งขันเรือยาว จัดขึ้นโดย วัดไร่ขิง พระอารามหลวงร่วมกับ
เทศบาลเมืองไร่ขิง และหน่วยงานราชการ กำหนดจัดการแข่งขันเรือยาวประเพณี
ชิงถ้วยพระราชทาน ในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ณ แม่น้ำท่าจีน หน้าพระอุโบสถ
วัดไร่ขิงเพื่อเป็นการฟื้นฟูประเพณีการแข่งขันเรือยาวขึ้น ณ แม่น้ำท่าจีน หน้าวัดไร่ขิง
และเพื่อเป็นการอนุรักษ์ส่งเสริมประเพณีอันดีงามในวิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพัน
อยู่กับสายน้ำ และศรัทธาในพระพุทธศาสนา (กระทรวงวัฒนธรรม, 2566)
ภาพ: ประเพณีการแข่งขันเรือยาว
2. ระบบเศรษฐกิจ การค้าขายลุ่มน้ำท่าจีน
สภาพเศรษฐกิจการค้าของบริเวณลุ่มน้ำท่าจีนในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
มีการขยายตัวของการผลิตอุตสาหกรรมน้ำตาล บริเวณเมืองนครชัยศรี ส่งผลให้
ชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานจำนวนมากในบริเวณเมืองนครชัยศรี เพื่อเข้าเป็น
แรงงาน เจ้าของกิจการโรงงาน และค้าขาย
ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงใน พ.ศ. 2398 มีการขยายตัวของการค้า
น้ำตาลและข้าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ ต่อมา
ในปลายรัชกาลที่ 5 กิจการอุตสาหกรรมน้ำตาลเลิกไป เกิดการขยายพื้นที่ปลูกข้าวแทน
เพราะข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกที่มีราคาสูงขึ้นมาก ภายหลังการยกเลิกระบบ
ไพร่และทาส จึงเกิดแรงงานอิสระจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของชุมชนต่าง ๆ
ขึ้นบริเวณลุ่มน้ำท่าจีน เมื่อการค้าภายในประเทศขยายตัวมากขึ้น ชุมชนบางแห่ง
จึงกลายเป็นตลาดและบางแห่งพัฒนาเป็นเมือง เช่น บริเวณเมืองนครชัยศรี และเมืองพระปฐมเจดีย์
โดยชาวจีนมีบทบาททางการค้าและเศรษฐกิจอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจทั่วไปของชาวบ้านในบริเวณลุ่มน้ำท่าจีนยังคงอยู่ใน
ลักษณะพึ่งตนเองอยู่เป็นส่วนใหญ่ ลักษณะการดำรงชีวิตยังคงสืบเนื่องจากบรรพบุรุษ
แต่มีการพัฒนาทางการศึกษาและสาธารณูปโภค เช่น ตั้งโรงเรียนสามัญและ ก่อตั้งไปรษณีย์ โทรเลข เป็นต้น
ภาพ: ตลาดน้ำดอนหวาย
3. อุตสาหกรรมริมแม่น้ำท่าจีน
ชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในลุ่มแม่น้ำท่าจีนนั้น ส่วนใหญ่เข้ามาเป็น
แรงงานปลูกอ้อย และแรงงานโรงงานน้ำตาล รวมถึงเจ้าของกิจการโรงงาน และ
ค้าขาย โดยจากบันทึกของสังฆราชปาลเลอกัวซ์กล่าวว่า “ในเมืองนครชัยศรี
ในระยะก่อน พ.ศ. 2398 ปรากฏว่ามีโรงงานน้ำตาลถึง 30 โรง” ต่อมายังพบ
อุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น โรงสีข้าว โรงงานย้อมผ้าดำ ตลาดริมน้ำ โรงต่อเรือ เป็นต้น
ภาพ: โรงงานย้อมด้าย อำเภอสามพราน
ที่มา: https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:85179
ที่มา: https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:85179
บทบาทสำคัญ
ในด้านการคมนาคมขนส่งสินค้า
1.การสัญจรของชาวบ้านและคนที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ
การคมนาคมในสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 มีการส่งเสริมการคมนาคมทางน้ำ
โดยการขุดคลองบริเวณลุ่มน้ำท่าจีน ได้แก่ คลองเจดีย์บูชา ขุดขึ้นใน พ.ศ. 2401
คลองมหาสวัสดิ์ (พ.ศ. 2403) คลองดำเนินสะดวก (พ.ศ. 2409) และ
คลองภาษีเจริญ (พ.ศ. 2410) ทำให้บริเวณลุ่มน้ำท่าจีนขยายเส้นทางคมมนาคม
มากขึ้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ - มหาชัย
และสายกรุงเทพฯ - เพชรบุรี โดยเส้นทางรถไฟตัดผ่านจังหวัดนครปฐมทำให้
เกิดการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น (สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์, หน้า 451-455, 2539)
ภาพ: แม่น้ำท่าจีนสมัยก่อน
ที่มา: มนัสศักดิ์ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: มนัสศักดิ์ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
2.การขนส่งสินค้า
แม่น้ำท่าจีนมีบทบาทสำคัญมากในด้านการคมนาคมขนส่งสินค้าทางเศรษฐกิจ
ของประเทศ เป็นทางสัญจรของผู้คนจากจังหวัดชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี
และนครปฐม เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เนื่องด้วยขณะนั้นยังไม่มีการตัดถนนมาลัยแมน
เชื่อมระหว่างจังหวัดนครปฐมกับสุพรรณบุรี
ภาพ: แม่น้ำท่าจีนสมัยก่อน
ที่มา: มนัสศักดิ์ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ที่มา: มนัสศักดิ์ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
3.ผลกระทบที่ทำให้แม่น้ำถดถอยลง
ปัจจุบันความเจริญทางการคมนาคมเปลี่ยนถ่ายจากน้ำสู่บก ทำให้การสัญจร
ในบริเวณแม่น้ำท่าจีนถดถอยลงไป ส่งผลให้อุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น โรงสีข้าว
โรงงานย้อมผ้าดำ ตลาดริมน้ำ โรงต่อเรือ เป็นต้น สูญหายไปตามกาลเวลา และ
เกิดอุตสาหกรรมใหม่ เช่น โรงงานอาหารสัตว์ โรงงานน้ำตาล โรงสีข้าว โรงงาน
ผลิตสิ่งทอ ฯลฯ ที่ทำให้เกิดมลภาวะทางน้ำ ส่งผลให้แม่น้ำท่าจีนเน่าเสียในฤดูแล้ง
ชาวบ้านใช้น้ำบริโภคไม่ได้ เกิดผลกระทบต่อการปลูกพืช ซ้ำยังมีผักตบชวา
ลอยอยู่เต็มแม่น้ำในบางฤดูลำบาก แม่น้ำท่าจีนจึงเกิดการเน่าเสีย และนำไปสู่
การอนุรักษ์ฟื้นฟูคุณภาพน้ำในเวลาต่อมา
ภาพ: ชาวนาที่มีพื้นที่ติดริมแม่น้ำ สามารถทดน้ำขึ้นไปเพื่อทำนาดำ
ที่มา: https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:85179
ที่มา: https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:85179
นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์ อาจารย์มนัสศักดิ์ รักอู่ นักวิชาการอิสระ
ได้กล่าวไว้ว่า ความเจริญที่เกิดขึ้นตามริมฝั่งแม่น้ำสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลาย
ของชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่อาศัยอยู่ทั้งสองฝั่ง แม่น้ำท่าจีนมีบทบาทที่เปลี่ยนแปลง
ไปตามพัฒนาการทางเทคโนโลยีการคมนาคม ตั้งแต่การใช้เรือพายจนถึงถนนและรถไฟ
ส่งผลให้ตลาดริมน้ำลดความสำคัญลงอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม แม่น้ำยังคงเป็น
แหล่งรวบรวมวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง
แหล่งท่องเที่ยวบริเวณแม่น้ำท่าจีน
(ชื่อเดิมแม่น้ำนครชัยศรี)
สถานที่ท่องเที่ยวและการนั่งเรือชมแม่น้ำท่าจีน
การล่องเรือชมบรรยากาศทั้งสองฝั่งของแม่น้ำท่าจีนขณะนี้จะพบสิ่งสำคัญ
หลายอย่าง เช่น อาคารบ้านเรือน วัด โรงเรียน ตลาดริมน้ำ โรงสีข้าวในอดีต
โรงงานอุตสาหกรรม ที่ว่าการอำเภอ และร่องรอยของคลองสำคัญในอดีตที่เคย
เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 มายังองค์พระปฐมเจดีย์
ตลอดจนพันธุ์พืชไม้และกิจกรรมของผู้คนในลำน้ำนี้
เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำจนสุดเขตของแม่น้ำท่าจีนหรือแม่น้ำนครชัยศรีคือจากบางหลวงถึงอ้อมใหญ่ โดยแวะเป็นจุด ๆ ดังนี้
ภาพ: คลองมหาสวัสดิ์
จุดที่ 1
นั่งรถยนต์มาลงที่ตลาดบางหลวงเพื่อจะลงเรือล่องแม่น้ำลงไปทางใต้
ที่นี่เป็นตลาดแบบห้องแถวสร้างด้วยไม้หันหน้าเข้าหาทางเดินลงแม่น้ำไปสู่ท่าเรือ
ยาวประมาณ 150 เมตร มีพืชผัก ผลไม้ ของใช้ เสื้อผ้า อาหาร และเครื่องมือ
การเกษตรจำหน่ายให้แก่คนที่เดินทางขึ้นลงเรือเมล์ในสมัยก่อน ปัจจุบันก็ยังเป็น
ที่จับจ่ายใช้สอยของชาวบ้านระแวกนั้นอยู่อย่างเดิม เมื่อเรือแล่นออกจากท่าน้ำ
ตลาดบางหลวงล่องลงมาตามน้ำด้วยความเร็ว 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ชมบรรยากาศของชีวิตชนบทอันประกอบไปด้วยบ้านเรือนและพืชพันธุ์ไม้สองฝั่ง
สักพักหนึ่งจะมาถึงอำเภอบางเลน
ภาพ: ตลาดบางหลวง
ที่มา: https://wikicommunity.sac.or.th/community/286
ที่มา: https://wikicommunity.sac.or.th/community/286
จุดที่ 2
แวะชมตลาดบางเลน ที่ริมแม่น้ำท้ายตลาดมีโรงงานทำขนมเปี๊ยะที่มีชื่อเสียง
ของบางเลนตั้งอยู่ ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในนามขนมอร่อย ผู้ล่องเรือสามารถ
เลือกซื้อได้ตามใจชอบ นอกจากนั้น ยังมีของใช้พื้นบ้านในสมัยก่อนจำหน่ายด้วย
เช่น หม้อดินเผา ตะเกียงน้ำมันก๊าด ร้านซ่อมตะเกียงเจ้าพายุ ตะเกียงลาน สวิงช้อนปลา
งอบและหมวกสำหรับใส่ไปทำนา เสื้อผ้าชุดทำสวน และขนมไทย
เรือแล่นจากตลาดบางเลนช่วงนี้จะผ่านสะพานข้ามแม่น้ำของถนนสาย
บางเลน-ลาดหลุมแก้ว ผ่านวัดบางปลา วัดลำพญา วัดบางระกำ วัดแต่ละแห่ง
อยู่ห่างกัน 2-3 กิโลเมตร แต่ละวัดมีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ล้วนเป็น
ศิลปะไทยที่งดงามตระการตา
ภาพ : ตลาดบางเลน
ที่มา : Gemini
ที่มา : Gemini
จุดที่ 3
แวะชมวัดบางพระ เข้านมัสการหลวงพ่อเปิ่น ภายในวัดมีโบสถ์เก่าสมัยอยุธยา
มีคุณค่าควรอนุรักษ์อย่างยิ่ง ส่วนผู้ใดที่สนใจพระเครื่องก็มีให้เลือกเช่าหลายแบบ
หลายรุ่นตามชอบใจ
ภาพ : วัดบางพระ
จุดที่ 4
แล่นเรือออกจากวัดบางพระสักพัก ด้านซ้ายมือจะพบวัดลานตากฟ้าที่ข้างวัด
จะมีปากคลองขนาดใหญ่ชื่อคลองโยง คลองนี้มีมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
เพราะเป็นเส้นทางนิราศพระประธม ของสุนทรภู่ สมัยรัชกาลที่ 3 ฝั่งตรงกันข้ามของ
แม่น้ำเป็นวัดสำโรง บรรยากาศของแม่น้ำดูจะเงียบสงบ
ภาพ: วัดลานตากฟ้า
ที่มา: https://travel.trueid.net/detail/7zWbbGGlr0Yy
ที่มา: https://travel.trueid.net/detail/7zWbbGGlr0Yy
จุดที่ 5
ชี้ให้ชมปากคลองมหาสวัสดิ์ เป็นคลองที่รัชกาลที่ 4 โปรดให้ขุดขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 2396 และเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2405 เป็นคลองเชื่อมต่อกับคลองบางกอกน้อย
ที่วัดชัยพฤกษมาลา เพื่อเป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์
นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงยังมีสถานที่ชื่อว่า นาบัว ซึ่งถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสถานที่
Dream Destination 2 ในปี พ.ศ. 2558 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นด้วยบรรยากาศ
ธรรมชาติและความสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการพักผ่อนและสัมผัส
วิถีชีวิตท้องถิ่น
จุดที่ 6
ชี้ให้ชมโรงหวด เป็นหมู่บ้านคนไทยที่มีอาชีพปั้นหวดสำหรับนึ่งข้าวเหนียว
มีประมาณเกือบ 10 โรง ในอดีตพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยประทับ
พักแรมที่บ้านท่าหวดนี้ ครั้งเสด็จโดยขบวนช้างจากกรุงธนบุรีไปยังองค์พระปฐมเจดีย์
ก่อนที่จะมีการขุดคลองมหาสวัสดิ์และครองเจดีย์บูชา เลยโรงหวดไปไม่ไกลนัก สุดทางโค้งของแม่น้ำจะผ่านวัดกกตาล
วัดสัมปตาก และวัดกลางคูเวียง โรงงานผลิตแป้งน้ำมองเล่ยะ หมู่บ้านลาวเวียง
และหมู่บ้านเขมร ซึ่งอยู่ใกล้วัดแค วัดสัมปทวน บริเวณนี้เป็นที่อยู่ของคนไทยเชื้อสายลาวและคนไทยเชื้อสายเขมร
ซึ่งเดิมเป็นชนกลุ่มน้อยที่พระมหากษัตริย์ไทยสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ไปทำ
สงครามชนะ แล้วได้กำลังพลจากลาวและเขมรมา จึงโปรดเก้าให้ตั้งหลักแหล่งบริเวณนี้
ภาพ: บ้านโรงหวด
ที่มา: https://www.xn--72cga3cbo8cg9b4c4etb0g3ef.com/place/detail/46
ที่มา: https://www.xn--72cga3cbo8cg9b4c4etb0g3ef.com/place/detail/46
จุดที่ 7
ชี้ให้ชมสะพานเสาวภา ผ่องศรี เป็นสะพานรถไฟสายใต้ทอดข้ามแม่น้ำท่าจีน
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยถูกระเบิดญี่ปุ่นระเบิดพังลงมา ถัดมาอีก 50 เมตร
คลองเจดีย์บูชา ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าให้ขุดขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางเดินเรือตรงไป
ยังองค์พระปฐมเจดีย์ยาว 12 กิโลเมตร เป็นคลองที่เชื่อมต่อกับคลองมหาสวัสดิ์
เพื่อใช้เป็นเส้นทางเสด็จทางชลมารคตั้งแต่แม่น้ำเจ้าพระยาถึงพระปฐมเจดีย์ได้
สะดวกยิ่งขึ้น ที่ปากคลองนี้มีตลาดริมคลองสร้างด้วยไม้หลาย 10 หลังเรียงราย
ตามริมคลองฝั่งหนึ่ง ในอดีตความคึกคักมาก ปัจจุบันมีสภาพเกือบทิ้งร้าง
เพราะการคมนาคมทางเรือหมดบทบาทลง ล่องเรือไปตามแม่น้ำอีกประมาณ 200 เมตร
จะเป็นตลาด “ท่านา” หรือตลาดนครชัยศรี อยู่ใกล้กับอำเภอนครชัยศรี
ที่ถูกสถาปนาขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ดังจะเห็นร่องรอยของห้องแถวตลาดนั้น
มีลักษณะเช่นเดียวกับตลาดนครปฐม
ภาพ: สะพานเสาวภา
จุดที่ 8
ชี้ให้ชมหรือแวะที่วัดกลางบางแก้ว คนทั่วไปแถบบริเวณนครชัยศรีนี้ มักเรียกว่า
วัดกลาง เป็นวัดโบราณเก่าแก่สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา หรือตอนปลาย
ของยุคอู่ทอง นอกจากนี้ ภายในวัดกลางบางแก้วยังมีมณฑปของวัดเป็นรูปจตุรมุข
หลังคาทรงมงกุฎ ช่องประตูรูปแหลมโค้งอย่างอิทธิพลยุโรปที่เข้ามาในสมัยอยุธยา
สันนิษฐานว่า สร้างในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ
จุดที่ 9
ชี้ให้ชมบริเวณที่ตั้งมณฑลนครชัยศรีในอดีต มณฑลเป็นที่ทำการปกครองท้องถิ่น
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นที่ตั้งของโรงงาน
อุตสาหกรรม คือ โรงกลั่นน้ำมันพืชไทยไปแล้ว
ภาพ: โรงกลั่นน้ำมันพืชไทย
จุดที่ 10
ชี้ให้ชมเรือนแพหลังสุดท้ายในประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในสถานที่ดั้งเดิม เรือนแพ
หลังนี้เป็นร้านร้านขายของชำริมแม่น้ำ แต่ก่อนมี 3 หลังอยู่เรียงรายกันไม่ไกลนัก ชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่า “แพสามหลัง” ถัดไปไม่ไกลนักจะพบเรือนไทยหมู่ใหญ่
สร้างขึ้นใหม่ในลักษณะย้อนยุค มีจำนวนหลังคาถึง 8 หลังคา เจ้าของเป็นคนกรุงเทพฯ
สร้างไว้เป็นสถานที่พักผ่อนและต้อนรับแขกสำคัญ บนเนื้อที่เกือบ 10 ไร่ เป็นเรือนไทยที่สวยที่สุดในแม่น้ำนี้
ภาพ : แพสามหลัง
ที่มา : Gemini
ที่มา : Gemini
จุดที่ 11
แวะชมสวนส้มโอที่ทรงคนอง อยู่ริมแม่น้ำที่มีต้นส้มโอออกผลให้ชม ด้วยบรรยากาศแบบสวนที่ร่มรื่น ถ้าการเดินทางตรงกับฤดูที่ส้มแก่ ผู้ชมสามารถ
ซื้อส้มโอสดจากสวนได้ด้วย
ภาพ: สวนส้มโอ
จุดที่ 12
แวะนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อโต พระประธานวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูป
ที่มีคนไทยรู้จักและนับถือทั่วภาคกลาง วัดไร่ขิงมีงานประจำปีในราวกลางเดือนเมษา
ของทุกปีเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์วัดไร่ขิงที่มีความวิจิตร การตกแต่งอาคารใช้ศิลปะไทยโบราณทั้งหมด เช่น บานประตูหน้าต่างประดับมุก
ลงรักปิดทองลายปูนปั้นประดับกระจกและจิตรกรรมไทยที่ฝาผนังทั้งหลัง
ภาพ: หลวงพ่อวัดไร่ขิง
จุดที่ 13
ชี้ให้ชมหรือแวะรับประทานของว่างที่สวนสามพราน หลังจากออกจากวัดไร่ขิงแล้ว
เรือจะแล่นผ่านสถานที่สำคัญ คือ ตลาดใหม่สามพราน สะพานข้ามแม่น้ำของถนน
สายเพชรเกษม วัดสรรเพชญ วัดเดชานุสรณ์ สวนสามพราน ที่ว่าการอำเภอ
สามพราน ปากคลองลัดท่าคา วัดบางช้างเหนือ วัดบางช้างใต้ วัดท่าข้าม วัดเชิงเลน และวัดอ้อมใหญ่
ภาพ: สวนสามพราน
ที่มา: https://cbtthailand.dasta.or.th/webapp/relattraction/content/501/
ที่มา: https://cbtthailand.dasta.or.th/webapp/relattraction/content/501/
จุดที่ 14
เที่ยวสวนผลไม้คลองจินดา กลุ่มชาวสวนคลองจินดาจัดบริการนำเที่ยว
สวนฝรั่ง ชมพู่ มะพร้าว กล้วยไม้ ฯลฯ โดยที่เจ้าของสวนจริงจะได้ชิมผลไม้สด ๆ จากต้น
ต้องลงเครื่องหางยาวลำละ 5-10 คน เพราะเรือใหญ่เข้าคลองไม่ได้ และต้องเป็นเวลาที่น้ำไหลขึ้นด้วยเรือจึงจะเข้าคลองได้สะดวก
(นุกูล ชมภูนิช, หน้า 2-8, 2545)
ภาพ: สวนผลไม้คลองจินดา
ที่มา: https://www.tamdoo.com/2014/05/13
ที่มา: https://www.tamdoo.com/2014/05/13
นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์ อาจารย์มนัสศักดิ์ รักอู่ นักวิชาการอิสระ
ได้กล่าวว่า ปัจจุบันการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ควบคู่กับการมีส่วนร่วม
ของชุมชน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูชีวิตริมแม่น้ำท่าจีนให้กลับมามีชีวิตชีวา
อีกครั้ง รวมถึงการอนุรักษ์วัดและบ้านเรือนเก่าแก่ การฟื้นฟูตลาดท้องถิ่น
ล้วนเกิดจากพลังของชุมชนที่เข้มแข็งซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลความสะอาด
และคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม ความร่วมมือระหว่างชุมชนริมน้ำและ
วัดริมแม่น้ำจึงกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
อย่างยั่งยืน
วิดีโอ | แม่น้ำท่าจีน
แหล่งอ้างอิง
สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. (2532). ประวัติศาสตร์สังคมของชุมชนในลุ่มน้ำท่าจีน (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลัยศิลปากร.
อนุรัตน์ วัฒนาวงศ์สว่าง. (2556) นายรอบรู้นักเดินทาง : นครปฐม. (น. 23). กรุงเทพฯ:
สํานักพิมพ์สารคดี ในนามบริษัทวิริยะธุรกิจ.
อรรถภูมิ อองกุลนะ. (2568). การเดินทางของชาวจีนโพ้นทะเลแห่งชุมชนลุ่มน้ำท่าจีน. สืบค้น 22 กันยายน 2568,
https://ngthai.com/cultures/78562/tha-chin-thai-chinese/
นุกูล ชมภูนิช. (2545). ลุ่มน้ำท่าจีนถิ่นวัฒนธรรม แหล่งสำคัญทวารวดีศรีอาณาจักร เอกลักษณ์งานศิลป์ถิ่นสนามจันทร์
(รายงานผลการวิจัย). นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
กระทรวงวัฒนธรรม. (2566). ประเพณีการแข่งเรือยาวประเพณี ชิงถ้วยพระราชทาน ณ วัดไร่ขิง พระอารามหลวง.
สืบค้น 22 กันยายน 2568,
https://calendar.m-culture.go.th/events/102307
คำขวัญนครปฐมเคย
มีคำว่าผ้าดำดีมาก่อน
จังหวัดนครปฐมในอดีตเคยใช้คำขวัญว่า ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวสวย
ผ้าดำดี ปัจจุบันทางจังหวัดได้นำของดีจากอำเภอนครชัยศรี และอำเภออื่น ๆ มารวม
กันและใช้คำขวัญใหม่ว่า ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวงาม ข้าวหลามหวานมัน
สนามจันทร์งามล้น พุทธมณฑลคู่ธานี พระปฐมเจดีย์เสียดฟ้าสวยงามตาแม่น้ำท่าจีน
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ผ้าดำดี นั้นหายไป (หนังสือข้อมูลสิ่งสำคัญในเมืองนครปฐม, หน้า 75)
ประวัติความเป็นมา
ประวัติการย้อมผ้าดำในเขตเมืองนครปฐมไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าสันนิษฐาน
ว่าเริ่มเกิดขึ้นในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตเมือง
นครชัยศรีในขณะนั้นเป็นผู้ริเริ่มประกอบกิจการย้อมผ้าเป็นรายแรก โดยอาศัยความ
รู้เรื่องการย้อมผ้ามาจากเมืองจีนเห็นได้จากการนำเข้าอุปกรณ์บางอย่างที่ใช้ใน
การผลิตมาจากเมืองจีน เช่น หินบดที่ใช้รีดผ้า
ภาพ: ผ้าดำนครชัยศรี
ผ้าดำดีได้ปรากฏในเอกสารหลักฐานที่กล่าวถึงการย้อมผ้าดำใน เมืองนครชัยศรี
สมัยรัชกาลที่ 5 คือ จดหมายเหตุระยะทาง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เสด็จตรวจราชการหัวเมืองมณฑลกรุงเก่า
มณฑลนครชัยศรี มณฑลราชบุรี ในรัตนโกสินทรศก 117 (พ.ศ. 2441)
(หนังสือนครปฐม ประวัติและวัฒนธรรมท้องถิ่น, หน้า 64)
ได้กล่าวถึงกิจการโรงย้อมผ้าดำในเขตเมืองนครชัยศรีว่าตามลำน้ำในเขต เมืองนครชัยศรีปรากฏว่า เป็นที่ตั้งของโรงงานย้อมผ้าดำ ย้อมคราม อยู่หลายแห่ง เพราะมะเกลือป่ามีอยู่มากบริเวณด้านหลังพระปฐมเจดีย์ไปกระทั่ง ถึงเขตต่อ พรมแดนเมืองกาญจนบุรี พวกชาวบ้านจะเก็บและบรรทุกใส่เกวียนลงมาขาย สามารถ หาซื้อได้ในราคาถูก จึงมี ผู้ตั้ง โรงย้อมผ้าดำมะเกลือไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ กำไรดี ในการย้อมครามก็ทำนองเดียวกันด้วยอาศัยซื้อครามตามท้องไร่ท้องนา ในคลองเจดีย์บูชา (เว็บไซต์หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ตลาดเก่าในลุ่มน้ำนครชัยศรี, หน้า 13)
ได้กล่าวถึงกิจการโรงย้อมผ้าดำในเขตเมืองนครชัยศรีว่าตามลำน้ำในเขต เมืองนครชัยศรีปรากฏว่า เป็นที่ตั้งของโรงงานย้อมผ้าดำ ย้อมคราม อยู่หลายแห่ง เพราะมะเกลือป่ามีอยู่มากบริเวณด้านหลังพระปฐมเจดีย์ไปกระทั่ง ถึงเขตต่อ พรมแดนเมืองกาญจนบุรี พวกชาวบ้านจะเก็บและบรรทุกใส่เกวียนลงมาขาย สามารถ หาซื้อได้ในราคาถูก จึงมี ผู้ตั้ง โรงย้อมผ้าดำมะเกลือไปจำหน่ายยังต่างประเทศได้ กำไรดี ในการย้อมครามก็ทำนองเดียวกันด้วยอาศัยซื้อครามตามท้องไร่ท้องนา ในคลองเจดีย์บูชา (เว็บไซต์หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ตลาดเก่าในลุ่มน้ำนครชัยศรี, หน้า 13)
ภาพ: น้ำหมักมะเกลือ
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของผ้าดำดีในจังหวัดนครปฐมได้มาจากการสัมภาษณ์
นางสาวขาเตียง แซ่เฮง และนายไจ้เทียม แซ่เฮงผู้คร่ำหวอดในการทำผ้าย้อมคราม
และผ้าย้อมมะเกลือมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านทั้งสองกล่าวว่าผ้า
ดำหรือผ้าย้อมมะเกลือมีใช้มาตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเขตอำเภอ
นครชัยศรีมีโรงงานย้อมผ้าอยู่ 3 แห่ง คือ โรงงานเล่าเต็กฮะ ตั้งอยู่ที่บริเวณตลาด
ต้นสน (ปากคลองเจดีย์บูชา) โรงงานเฮงเต็กฮะตั้งอยู่ที่ท่านา (บริเวณโรงสุราปัจจุบัน)
และโรงงานที่อยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามตลาดต้นสนอีกหนึ่งแห่งไม่ทราบชื่อ
ภาพ: อาคารเรือนไม้ตลาดต้นสน
ภาพ: http://www.snc.lib.su.ac.th/libmedia/west/e-clip/610077.pdf
ภาพ: http://www.snc.lib.su.ac.th/libmedia/west/e-clip/610077.pdf
ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นายจันทร์ แซ่เฮง ได้ก่อตั้งโรงงานเล่าเต็กฮะ
ขึ้นมาที่ตลาดต้นสนมีบุตร 13 คน เป็นผู้ช่วยดำเนินงาน คือ นายบุนเม้ง นายบุนเซียง
และนายเกชิง ส่วนนายจั่น และนางปุ๋ย แซ่เฮง ซึ่งเป็นน้องชาย และน้องสะใภ้ของ
นายจันทร์ เปิดโรงงานย้อมผ้าทำอีกแห่งหนึ่งที่ท่านา (บริเวณโรงสุราปัจจุบัน) ชื่อ
โรงงานเฮงเต็กฮะ โดยมีลูก ๆ คือ นายคุนเซีย นายคุนกัง และนางไน้จู เป็นผู้ช่วย
ดำเนินงานผ้าดำที่ผลิตออกมามี หลากหลายยี่ห้อ เช่น ตรากวาง ตรานกแก้ว
ตรามังกรคู่ และตราถ้วยทอง เป็นต้น โดยเฉพาะตราถ้วยทองของโรงงานเล่าเต็ก
ฮะเป็นยี่ห้อที่ส่งเข้าประกวดแล้วได้รับรางวัลผ้าดำคุณภาพถึง 3 ปีซ้อน ผ้าดำที่มี
คุณภาพสีจะดำสวยเป็นนิด และมีความคงทนใช้งานได้นาน สวมใส่สบายระบาย
อากาศได้ดีผ้าดำที่ผลิตออกมาโดยส่วนมากจะขายเป็นเมตรหรือเป็นหลาแล้ว
ชาวบ้านจะนำไปตัดเสื้อผ้าตามความต้องการ เช่น เสื้อเชิ้ต เสื้อกุยเฮง กางเกงจีน
ชุดชาวนา ทำงาน ผ้านุ่ง และผ้าถุง เป็นต้น ค่าดัดเสื้อในสมัยนั้นมีตั้งแต่ราคา 60
สตางค์ กระทั่งถึง 1 บาท 50 สตางค์
ภาพ : นายจั่น และนางปุ่ย แซ่เฮง
ที่มา : หนังสือนครปฐมประวัติและนวัตกรรมท้องถิ่น
ที่มา : หนังสือนครปฐมประวัติและนวัตกรรมท้องถิ่น
นายไจ้เทียม แซ่เฮง กล่าวว่าการขายผ้าดำจะนำไปส่งให้ลูกค้าทางน้ำ ล่องเรือ
แท็กซี่ หรือเรือยนต์รับจ้างไป สามารถไปขายถึงบางลี่ สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา
และบางกอกน้อย กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าซึ่งล่องเรือมาจากทั่วประเทศ
เพื่อมารับผ้าดำไปขายด้วย กระบวนการผลิตผ้าดำนั้นนับได้ว่าเป็นงานที่ค่อนข้าง
หนักต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้นแรงงานในโรงงานจึงเน้นผู้ชายเป็นหลัก
ส่วนผู้หญิงจะเป็นเพียงผู้ช่วยสนับสนุน เช่น การขายผ้าหน้าร้าน การจัดสวัสดิการ
การหุงหาอาหารให้แรงงานกว่า 50 ชีวิต
ภาพ : นายจันทร์ แซ่เฮง
ที่มา : หนังสือนครปฐมประวัติและนวัตกรรมท้องถิ่น
ที่มา : หนังสือนครปฐมประวัติและนวัตกรรมท้องถิ่น
ขั้นตอนการ
ผลิตผ้าดำ
กระบวนการผลิตผ้าดำของโรงงานในอดีตเป็นงานที่ต้องใช้ความชำนาญและ
ทำตามลำดับขั้นตอนอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การเตรียมผ้าขาว การย้อมน้ำมะ
เกลือ ไปกระทั่งถึงการรีดและบรรจุเพื่อจำหน่าย ทุกขั้นตอนล้วนต้องอาศัยแรง
งานจำนวนมาก โรงงานจึงมักตั้งอยู่ใกล้ลำคลองเพื่อความสะดวกในการใช้น้ำใน
การชำระล้างสี กระบวนการทั้งหมดมีดังนี้
1. นำผ้าขาวที่เป็นพับที่สั่งมาจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีความยาวประมาณ 40
- 50 เมตร มาคลี่ออก แล้วนำไปแช่น้ำเพื่อชักล้างแป้งที่เคลือบผ้าออก ต่อจาก
นั้นนำไปตากให้แห้ง ซึ่งเป็นเรื่องยากและต้องใช้ ความชำนาญโดยต้องโยนผ้าทั้ง
พับให้พาดกับราวซึ่งสูงประมาณ 14 เมตร ให้ได้คล้ายกับการตากแผ่นก๋วยเตี๋ยว
แต่ผ้ามีขนาดใหญ่กว่ามากนำผ้าขาวที่ผ่านการซักและตากแห้งแล้วไปหมักในบ่อ
คราม ซึ่งเป็นครามที่ใส่ถังมาจากต่างประเทศ มีลักษณะเป็นสีน้ำเงินเข้มและข้น
คล้ายสีน้ำมันแล้วจึงนำมาชักหลังจากชักเสร็จแล้วจึงนำไปตากทำอย่างนี้ประมาณ
3 รอบ
ภาพ: ผ้าดำนครชัยศรี
2. นำผ้าที่ผ่านขบวนการย้อมครามเรียบร้อยแล้วมาหมักในบ่อน้ำมะเกลือคือ
บ่อที่มีน้ำสีซึ่งได้จากการ นำเปลือกและผลมะเกลือมาต้มหมักไว้ก่อนจนได้สีเป็น
สีดำสนิท และนำน้ำที่ได้จากการต้มหนังวัวและหนังควาย ใส่เข้าไปเพื่อเป็นการ
ประสานให้สีย้อมติดกับผ้าเป็นอย่างดี จากนั้นจึงนำไปซักแล้วนำไปตากให้แห้ง
ภาพ: ผ้าดำหมักในบ่อน้ำมะเกลือ
3. นำผ้าที่ผ่านขบวนการย้อมมะเกลือเรียบร้อยแล้วมาทับให้เรียบโดยใช้หินที่
นำเข้ามาจากประเทศจีน และลูกกลิ้ง ใช้แรงงานในการเหยียบหินให้โยกไปมากับ
ลูกกลิ้งเพื่อกลึงทับผ้าให้เรียบในช่วงนี้จะต้องใช้ปากอมน้ำพ่นไปที่ผ้าเป็นระยะ ๆ
จนกว่าผ้าจะเรียบ
ภาพ : นำผ้าที่ผ่านขบวนการย้อมมะเกลือเรียบร้อยแล้วมาทับให้เรียบโดยใช้หิน
ที่มา : หนังสือนครปฐมประวัติและนวัตกรรมท้องถิ่น
ที่มา : หนังสือนครปฐมประวัติและนวัตกรรมท้องถิ่น
4. จากนั้นนำม้วนผ้าที่ผ่านการรีดจนเรียบแล้วปั๊มประทับตรายี่ห้อร้านแล้ว จึง
พับบรรจุใส่หีบห่อเพื่อรอการจำหน่ายขั้นตอนการย้อมผ้านั้นต้องใช้ทั้งแรงงานและ
ใช้พื้นที่จำนวนมากเพื่อตั้งถังหมักสี ถังย้อมสีที่สร้างเป็น อ่างขนาดใหญ่นอกจาก
นี้ยังต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมากเพื่อซักล้างสีส่วนเกิน ดังนั้นโรงงานย้อมผ้าดำส่วน
ใหญ่จึงมัก ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ เช่น ลำคลอง เป็นต้น เพื่อซักล้างสะดวก
(หนังสือนครปฐม ประวัติและวัฒนธรรมท้องถิ่น, หน้า 65-67)
ภาพ : ถุงบรรจุ
ที่มา : หนังสือนครปฐมประวัติและนวัตกรรมท้องถิ่น
ที่มา : หนังสือนครปฐมประวัติและนวัตกรรมท้องถิ่น
การสูญหาย
ของผ้าดำดี
การสูญหายของผ้าดำดีเกิดขึ้นเมื่อกิจการค้าขายผ้าดำเริ่มซบเซาลงอันเนื่อง
มาจากการเกิดขึ้น ของอุตสาหกรรมผลิตผ้าย้อมและเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่สามารถ
ผลิตได้รวดเร็วและมีราคาถูกเข้ามา ทำให้ความนิยม ในการใช้ผ้าดำลดลง นอก
จากนี้พวกวัสดุธรรมชาติ ที่ใช้ในการย้อมไม่ได้อุดมสมบูรณ์เหมือนในอดีต ในที่สุด
โรงย้อมผ้าดำจึงปิดกิจการลง ความเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีโรงงาน
ผ้าโทเรซึ่งเป็นอุตสาหกรรม ผลิตผ้าที่ย้อมสีด้วยสารเคมีมาตั้งที่อำเภอนครชัยศรี
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ ในระยะแรกร้านตัดผ้าต่างๆพากันไป สั่งผ้ามาจากโรงงานซึ่ง
ได้ราคาถูกกว่า ส่วนกลุ่มลูกค้าจากต่างถิ่นไม่จำเป็นต้องเดินทางมาซื้อผ้าย้อมจาก
โรงงานย้อมผ้าดำอีกต่อไปแล้ว ในที่สุดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าต่าง ๆ ก็ทยอยปิดตัวลง
เนื่องจาก “ผ้าดำดี” เคยเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญอำเภอนครชัยศรี แต่เมื่อความ นิยมในการใช้ผ้าดำค่อยๆ ลดลง สังคมหันไปใช้ผ้าสีอื่นและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่ผลิตได้ รวดเร็ว ราคาถูก และหาซื้อได้ง่าย ขณะเดียวกัน วัตถุดิบธรรมชาติที่ใช้ย้อมผ้าก็เริ่ม หายากขึ้น ส่งผลให้โรงย้อมผ้าดำทยอยปิดกิจการ จังหวัดนครปฐมจึงได้ปรับคำขวัญ ใหม่โดยตัด “ผ้าดำดี” ออกและแทนที่ด้วย “ข้าวหลาม” ทำให้ผ้าดำดีกลายเป็นเพียง มรดกทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่นในที่สุด (เว็บไซต์หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ตลาดเก่าในลุ่มน้ำนครชัยศรี, หน้า 14)
เนื่องจาก “ผ้าดำดี” เคยเป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญอำเภอนครชัยศรี แต่เมื่อความ นิยมในการใช้ผ้าดำค่อยๆ ลดลง สังคมหันไปใช้ผ้าสีอื่นและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่ผลิตได้ รวดเร็ว ราคาถูก และหาซื้อได้ง่าย ขณะเดียวกัน วัตถุดิบธรรมชาติที่ใช้ย้อมผ้าก็เริ่ม หายากขึ้น ส่งผลให้โรงย้อมผ้าดำทยอยปิดกิจการ จังหวัดนครปฐมจึงได้ปรับคำขวัญ ใหม่โดยตัด “ผ้าดำดี” ออกและแทนที่ด้วย “ข้าวหลาม” ทำให้ผ้าดำดีกลายเป็นเพียง มรดกทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่นในที่สุด (เว็บไซต์หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ตลาดเก่าในลุ่มน้ำนครชัยศรี, หน้า 14)
ลักษณะ
ต้นมะเกลือ
ต้นมะเกลือ
ลักษณะต้นมะเกลือ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ
มีความสูงประมาณ 10-30 เมตรมีลักษณะทรงพุ่มใบเป็นใบเดี่ยวรูปรีปลายใบแหลม
ผิวเปลือกแตกเป็นสะเก็ดตามยาวเนื้อไม้จะมีความละเอียดเป็นมันสวยงามมีลักษณะ
พิเศษคือทุกส่วนของมะเกลือเมื่อแห้งแล้วจะกลายเป็นสีดำ ต้นมะเกลือขยายพันธุ์
ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ลักษณะมีผลกลมเกลี้ยง ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง
ส่วนผลแก่มีสีดำ สามารถพบต้นมะเกลือได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย ยกเว้น
ภาคใต้ ต้นมะเกลือ เป็นต้นไม้ไทยที่มักถูกเชื่อมโยงกับพิธีกรรมและความเชื่อทางจิตวิญญาณ
บางชุมชนใช้ส่วนต่าง ๆ ของต้นมะเกลือในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ไม้
มะเกลือที่มีสีดำ เนื้อไม้แข็ง จะมีความเชื่อว่าเป็นไม้มงคลช่วยเสริมสิริมงคล
ภาพ: ต้นมะเกลือ
การฟื้นฟูและอนุรักษ์
ผ้าย้อมมะเกลือของ
ชุมชนบ้านวัดมะเกลือ
ภาพ: ลูกมะเกลือ
จุดเริ่มต้น
ในอดีต “ต้นมะเกลือ” เคยขึ้นอยู่หนาแน่นในชุมชนบ้านวัดมะเกลือ
อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ผลของมันถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบ
ในการย้อมผ้า จนเกิดเป็นสิ่งทอพื้นถิ่นที่มีชื่อเสียง เรียกว่า“ผ้าดำดี”
ซึ่งขึ้นชื่อในด้านความคงทน และสีดำเข้มเป็นเอกลักษณ์ถึงขั้นถูกยก
ย่องให้เป็นสินค้าสำคัญของอำเภอนครชัยศรีและถูกบรรจุไว้ในคำขวัญ
ท้องถิ่น แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป การขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการ
เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม ทำให้ต้นมะเกลือลดจำนวนลง อย่างรวดเร็ว
ส่งผลให ้ภูมิปัญญาการย้อมผ้าด้วยมะเกลือค่อย ๆ เลือนหาย จน
“ผ้าดำดี” เสี่ยงที่จะเหลือเพียงตำนานในความทรงจำ
ผู้ริเริ่มการอนุรักษ์
บุคคลสำคัญที่ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำการฟื้นฟูคือคุณวลี สวดมาลัย ประธานชุมชน
บ้านวัดมะเกลือ เธอตระหนักว่า หากไม่มีต้นมะเกลือหลงเหลืออยู่ชื่อ “บ้านวัดมะเกลือ”
จะหมดความหมายไปด้วย
คุณวลีจึงชักชวนผู้เฒ่าผู้แก่และคนในชุมชนมาร่วมกันอนุรักษ์ต้นมะเกลือ พร้อม สืบสานภูมิปัญญาการย้อมผ้า เกิดเป็นโครงการ “ธนาคารมะเกลือ” ที่ไม่เพียงรักษา ต้นไม้ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้และกลายเป็นพลังขับเคลื่อนรุ่นใหม่ ที่จะสืบต่อรากเหง้าเหล่านี้
คุณวลีจึงชักชวนผู้เฒ่าผู้แก่และคนในชุมชนมาร่วมกันอนุรักษ์ต้นมะเกลือ พร้อม สืบสานภูมิปัญญาการย้อมผ้า เกิดเป็นโครงการ “ธนาคารมะเกลือ” ที่ไม่เพียงรักษา ต้นไม้ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้และกลายเป็นพลังขับเคลื่อนรุ่นใหม่ ที่จะสืบต่อรากเหง้าเหล่านี้
ภาพ: คุณป้าวลี สวดมาลัย
สิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์
เพื่อให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าและหันมาปลูกต้นมะเกลือมากขึ้นจึงได้ริเริ่มการ
ดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นมะเกลือ โดยการจัดตั้งธนาคารมะเกลือ และ
ขึ้นทะเบียนต้นมะเกลือที่มีอยู่ในชุมชน ส่วนหนึ่งของการตระหนักถึงคุณค่าคือการ
ทำให้สมาชิกในชุมชนได้ใช้ประโยชน์และเกิดรายได้จากต้นมะเกลือ ซึ่งทางกลุ่มมุ่ง
เน้นการดำเนินกิจกรรมทั้งกระบวนการโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ยังพยายามเชื่อมโยงการอนุรักษ์เข้า กับการใช้ประโยชน์อย่างสร้าง สรรค์ เช่น ผลมะเกลือที่นำไปย้อมผ้าจะ ใช้เฉพาะผลมะเกลือสด ส่วนผลมะเกลือ แห้งนั้นต้องถูกทิ้งไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่สำหรับการทำสีน้ำสามารถใช้ผลมะ เกลือได้ทั้งสดและแห้ง โดยให้สีและยังเกิดเฉดสีที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีคุณ สมบัติพิเศษ คือ เมื่อสัมผัสกับอากาศจะทำให้มีเฉดสีที่เข้มขึ้น และเมื่อระยะเวลา ผ่านไปจะค่อยๆ เปลี่ยนเฉดสีจากสีดำหรือสีเทาเข้มเป็นสีน้ำตาลเข้ม ถือเป็นเสน่ห์ ของเฉดสีมะเกลือ ที่สามารถบอกเรื่องราวของสีตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไปเกิดเป็น ไอเดียของการนำผลมะเกลือมาทำสีน้ำธรรมติที่มีความปลอดภัย และสามารถนำ มาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้อีกด้วย
การฟื้นฟูและอนุรักษ์มาอย่างต่อเนื่องแต่สถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็น ข้อจำกัดหลายด้านโดยเฉพาะจำนวนต้นมะเกลือที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระ ทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและการใช้พื้นที่เพาะปลูกเชิงเกษตร ทำให้ ปริมาณผลมะเกลือไม่เพียงพอต่อการผลิตในระยะยาว ขณะเดียวกัน คนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เริ่มไม่รู้จักต้นมะเกลือและไม่คุ้นเคย
แม้แต่ในชุมชนบ้านวัดมะเกลือซึ่งใช้ชื่อพืชชนิดนี้เป็นชื่อวัด และชุมชนก็ตาม ภายใต้ปัญหานี้ ชุมชนจึงได้ริเริ่มสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับโรงเรียนและ เยาวชน เช่น การสอนทำสีจากผลมะเกลือการทดลองใช้สีย้อมธรรมชาติสร้างผล งานศิลปะ และการบูรณาการความรู้เข้าสู่การเรียนการสอนเพื่อสร้างจิตสำนึก ความภาคภูมิใจ และ การตระหนักถึงคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่นในหมู่เยาวชน รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดองค์ความรู้ให้ยืนยาวต่อไป
นอกจากนี้ยังพยายามเชื่อมโยงการอนุรักษ์เข้า กับการใช้ประโยชน์อย่างสร้าง สรรค์ เช่น ผลมะเกลือที่นำไปย้อมผ้าจะ ใช้เฉพาะผลมะเกลือสด ส่วนผลมะเกลือ แห้งนั้นต้องถูกทิ้งไปโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่สำหรับการทำสีน้ำสามารถใช้ผลมะ เกลือได้ทั้งสดและแห้ง โดยให้สีและยังเกิดเฉดสีที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีคุณ สมบัติพิเศษ คือ เมื่อสัมผัสกับอากาศจะทำให้มีเฉดสีที่เข้มขึ้น และเมื่อระยะเวลา ผ่านไปจะค่อยๆ เปลี่ยนเฉดสีจากสีดำหรือสีเทาเข้มเป็นสีน้ำตาลเข้ม ถือเป็นเสน่ห์ ของเฉดสีมะเกลือ ที่สามารถบอกเรื่องราวของสีตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไปเกิดเป็น ไอเดียของการนำผลมะเกลือมาทำสีน้ำธรรมติที่มีความปลอดภัย และสามารถนำ มาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้อีกด้วย
การฟื้นฟูและอนุรักษ์มาอย่างต่อเนื่องแต่สถานการณ์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็น ข้อจำกัดหลายด้านโดยเฉพาะจำนวนต้นมะเกลือที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากผลกระ ทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและการใช้พื้นที่เพาะปลูกเชิงเกษตร ทำให้ ปริมาณผลมะเกลือไม่เพียงพอต่อการผลิตในระยะยาว ขณะเดียวกัน คนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่เริ่มไม่รู้จักต้นมะเกลือและไม่คุ้นเคย
แม้แต่ในชุมชนบ้านวัดมะเกลือซึ่งใช้ชื่อพืชชนิดนี้เป็นชื่อวัด และชุมชนก็ตาม ภายใต้ปัญหานี้ ชุมชนจึงได้ริเริ่มสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับโรงเรียนและ เยาวชน เช่น การสอนทำสีจากผลมะเกลือการทดลองใช้สีย้อมธรรมชาติสร้างผล งานศิลปะ และการบูรณาการความรู้เข้าสู่การเรียนการสอนเพื่อสร้างจิตสำนึก ความภาคภูมิใจ และ การตระหนักถึงคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่นในหมู่เยาวชน รุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดองค์ความรู้ให้ยืนยาวต่อไป
ภาพ: ต้นมะเกลือ
ด้าน “เศรษฐกิจ”
ชุมชนได้การจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครือข่ายนราภิรมย์ เป็นอีกหนึ่งแนว
คิดในการรวมกลุ่มกันของคนภายในชุมชน เพื่อส่งเสริมและดำเนินกิจกรรมการ
สร้างรายได้จากผลผลิตและวัสดุธรรมชาติต่างๆ ภายในชุมชนเช่นการทำผ้ามัด
ย้อมจากสีธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์จากงาน Eco Print การทำน้ำสมุนไพร รวมถึง
การจัดกิจกรรม Workshop และเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยว “วันเดย์ทริป วันเดียว
เที่ยวสองจังหวัด นครปฐม-นนทบุรี”
ภาพ: ป้ายชุมชนบ้านวัดมะเกลือ
การใช้ประโยชน์จากต้นมะเกลือจึงเป็นหัวข้อต่อไปในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ของกลุ่ม จากความร่วมมือของทีมอาจารย์และนักศึกษาร่วมกับชุมชน ได้ออก
แบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยดึงความสามารถของชุมชนร่วมกับนวัตกรรมการ
ใช้เทคนิค Modular Interlocking ซึ่งเป็นเทคนิคการออกแบบและประกอบชิ้นส่วน
ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความสะดวกในการประกอบชิ้นงานได้ง่าย โดยการ
นำชิ้นส่วนโมดูลที่สามารถเชื่อมต่อ หรือล็อกกันได้โดยไม่ต้องใช้วัสดุเสริม หรือ
ไม่ต้องใช้การเย็บ มาสอดประสานกันได้อย่างพอดี ช่วยให้ชิ้นงานเชื่อมต่อกันได้
อย่างหนาแน่น และสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย เกิดการสร้าง
ผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยชุบชีวิตผ้ามัดย้อมที่ชำรุด การย้อมสีจากมะเกลือ การย้อม
สีจากสีธรรมชาติอื่น ๆ เช่น ดอกดาวเรืองที่เหลือทิ้งในสวน ถือเป็นการใช้วัสดุ
อย่างคุ้มค่า เป็นการกระจายรายได้ให้กับสมาชิกในกลุ่มและชุมชนใกล้เคียงเกิด
การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนขึ้นภายในชุมชนได้ (The Mission TH, 2566)
ภาพ: ผ้าย้อมสีจากมะเกลือ
แหล่งอ้างอิง
หนังสือ ข้อมูลสิ่งสำคัญในเมืองนครปฐม. หน้า 75.
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2566). ตลาดเก่าในลุ่มน้ำนครชัยศรี.
หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์[PDF 610077] หน้า 13-14.
http://www.snc.lib.su.ac.th/libmedia/west/e-clip
หนังสือ นครปฐม ประวัติและวัฒนธรรมท้องถิ่น. หน้า. 64–67.
The Mission TH. (2566). เรื่องราวการฟื้นฟูและอนุรักษ์ผ้าย้อมมะเกลือของชุมชนบ้านวัดมะเกลือ. https://www.themissionth.co/article/heart-of-ban-wat-makluea
The Mission TH. (2566). เรื่องราวการฟื้นฟูและอนุรักษ์ผ้าย้อมมะเกลือของชุมชนบ้านวัดมะเกลือ. https://www.themissionth.co/article/heart-of-ban-wat-makluea
YouTube. (2567). หัวใจในลายผ้า – สีสันชุมชนบ้านวัดมะเกลือ นครปฐม [วิดีโอ].
https://www.youtube.com/watch?v=0FYATCgpGp8
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม
ได้เปิดอาคารสิริวรปัญญาให้เป็นสถานที่
ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกัน Covid – 19 ให้กับบุคลากรและประชาชนที่ลงทะเบียน
ผ่านระบบหมอพร้อม
สรุปจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนจริง ทั้งหมด 664 คน
โดยในรอบนี้เป็นการฉีดวัคซีนเพื่อลดอัตราป่วย และความรุนแรงในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป กลุ่มโรคประจำตัว 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ที่มากกว่า 12 สัปดาห์ และเด็กอายุ 12 – 18 ปี ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เฉพาะผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมืองนครปฐมตามบัตรประชาชน สรุปจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนจริง ทั้งหมด 1,210 คน
โดยในรอบนี้ เป็นการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จำนวน 9 โรงเรียน สรุปจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนจริง ทั้งหมด 2,547 คน



















 1.png)
 1.png)
 1.png)
 1.png)

 1.png)
 1.png)
 1.png)
 1.png)




 2.png)
 2.png)
 2.png)
 1.png)




 2.png)
 3.png)

 3.png)
 2.png)
 3.png)
 1.png)
 2.png)
 1.png)
 2.png)
 1.png)
 2.png)
 1.png)
 1.png)
 1.png)
 2.png)
 1.png)
 1.png)
 1.png)
 1.png)




 1.png)
 1.png)

 1.png)




























































 1.png)
 1.png)
 1.png)
 1.png)








 2.png)
 2.png)
 2.png)
 2.png)















